
The Skincare Handbook by AMT Skincare
คอนเทนต์ให้ความรู้เกี่ยวกับผิว และวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับสกินแคร์
ตอนที่ 17 เมื่อผิวผลิต “เม็ดสี” มากเกินไป (Hyperpigmentation)
สวัสดีครับ ก่อนอื่นผมขอฝากลิงก์คอนเทนต์ย้อนหลัง เกี่ยวกับ เซลล์ที่สร้างเม็ดสี หรือ Melanocyte เอาไว้อ่านเพื่อปูความรู้เรื่องเม็ดสีครับ
ตอนที่ 3 Melanocyte
https://www.facebook.com/amtskincare/posts/149467153365796
ก่อนอื่น เราต้องยอมรับความจริงก่อนครับว่า เม็ดสี (Melanin) มีประโยชน์มากกว่ามีโทษครับ
เพราะว่า เม็ดสีเหล่านี้ช่วยดูดซับรังสี UV ทำให้เราไม่เป็นมะเร็งผิวหนัง ช่วยดูดซับอนุมูลอิสระที่เกิดจากการอักเสบ เป็นต้นครับ
เพียงแต่ว่า ในบางครั้ง เม็ดสีเหล่านี้ก็ถูกสร้างขึ้นมามากเกินไปครับ แต่ถึงถูกสร้างออกมามากเกินไป ในทางการแพทย์เราไม่ต้องรักษาก็ได้ครับ
นอกจากนี้ ในบางประเทศที่ใช้ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ ถ้าเราจะเบิกประกันเพื่อรักษา ฝ้า กระ เราไม่สามารถทำได้ครับ เพราะถือเป็นเรื่องความสวยความงาม ครับ
แต่เรื่อง ความสวยความงาม เป็นเรื่องใหญ่ครับ ผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลในเรื่อง ความสว่างกระจ่างใส ทำให้สีผิวแลดูสม่ำเสมอ มีมากมายครับ มีกันมานานแล้ว และผมเชื่อว่าคงจะมีไปเรื่อย ๆ ครับ
บทความวันนี้ ผมจะมาเล่าให้ฟังถึง ความผิดปกติแต่ละชนิดที่เกี่ยวกับการสร้างเม็ดสีที่มากเกินไป
ชนิดที่สกินแคร์ช่วยได้
และชนิดที่สกินแคร์ช่วยไม่ได้
รวมถึงแนวทางการดูแลให้เม็ดสีเหล่านั้นแลดูจางลง ผิวแลดูสว่างกระจ่างใส สีผิวแลดูสม่ำเสมอ มากขึ้นครับ
รายละเอียดอ่านได้ในข้อความใต้ภาพเลยนะครับ


เราเริ่มกันที่ ความผิดปกติที่ skincare ช่วย “ไม่ได้” ก่อนครับ
ที่พบมากจะมี 2 ชนิดครับคือ
1.Freckle มีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ (เส้นผ่านศูนย์กลางต่ำกว่า 5 mm) สีน้ำตาลอ่อน ถึง น้ำตาลเข้ม กระจายอยู่ทั่วใบหน้า และมีลักษณะที่พิเศษไม่เหมือนใคร คือ เป็นที่สันจมูกด้วยครับ ความผิดปกติแบบนี้มีสาเหตุมาจาก พันธุกรรมเป็นหลัก โดยมีรังสี UV เป็นตัวกระตุ้นครับ
2.Seborrheic Keratosis พบมากในอายุ 50 ปีขึ้นไป จุดสังเกตคือ จะยกนูน ไม่ใช่เรียบ ๆ เหมือนฝ้ากระทั่วไป สาเหตุมาจากอายุ โดยมีรังสี UV เป็นตัวกระตุ้นเช่นกันครับ
ความผิดปกติเหล่านี้ การรักษามีหลายวิธี แต่ที่นิยม คือการใช้ เลเซอร์ หรือ การผ่าตัดโดยใช้ความเย็น ครับ

ทีนี้เรามาเข้าเนื้อหาหลักกันครับ นั่นคือ ความผิดปกติที่ Skincare “ช่วยได้” ครับ
ที่พบมากจะมี 3 ชนิดครับคือ
1.Age Spot หรือบางทีเรียกว่า UV Spot ลักษณะคือ ตอนเริ่มแรกจะเป็นสีน้ำตาลจาง ๆ และจะค่อย ๆ เข้มและขอบชัดขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มเป็นได้ตั้งแต่อายุ 20-30 ปี ส่วนมากจะเป็นที่โหนกแก้ม ขมับ และหลังมือ เนื่องจากเป็นบริเวณที่โดนแดดมาก จุดที่เป็น ซ้ายขวาจะไม่สมมาตรกัน บางทีก็เป็นแค่ฝั่งเดียว
สาเหตุเกิดจาก รังสี UV กระตุ้นให้สร้างเม็ดสีเยอะขึ้น ประกอบกับเมื่ออายุเพิ่มขึ้น หรือเมื่อผิวแห้ง ผิวจะผลัดตัวช้าลง ทำให้เม็ดสีเหลือสะสม เห็นเป็นจุดสีที่เด่นชัดขึ้นครับ
แนวทางการดูแด
– ลดการเกิดเม็ดสีใหม่ โดยการทากันแดด และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดเม็ดสี เช่น Niacinamide เป็นต้น
– ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ช่วยให้ผิวผลัดตัวเร็วขึ้น เม็ดสีเก่าจะได้หลุดออกไป

2.Post Inflammatory Hyperpigmentation (PIH) เป็นเม็ดสีที่เกิดขึ้นมากเกินไป โดยเกิดในตำแหน่งที่เคยมีการอักเสบมาก่อน ลักษณะจะเป็น รอยแดง หรือ น้ำตาลเข้ม เม็ดสีนี้จะเกิดขึ้นหลังเป็นสิวอักเสบ หลังยุงหรือแมลงกัด รวมถึงบาดแผลทั่วไป
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่า หลังเกิดการอักเสบ ร่างกายจะปล่อยสารมาทำลายเชื้อสิว มาทำลายผิวเก่าที่เสียไปแล้ว สารเหล่านี้ชื่อว่า ROS โดย ROS ก็จะไปทำลายผิวที่ยังดีอยู่ด้วย ผิวจึงต้องปล่อยเม็ดสีออกมาป้องกัน ROS อีกที จึงเป็นที่มาว่าทำไม อักเสบแล้วชอบมี รอยสี หลงเหลือ
แนวทางการดูแล
ความผิดปกติของเม็ดสีแบบนี้ “หายสนิท” ได้ครับ เมื่อการอักเสบ (ต้นเหตุ) หมดไป ผิวก็จะค่อย ๆ ผลัดเม็ดสีเก่าทิ้งออกไป ดังนั้น เราควรให้ความชุ่มชื้นเป็นหลัก เพื่อให้ผลัดเม็ดสีเก่าออกไปได้เร็วขึ้น รวมถึงทากันแดดเพื่อป้องกันการสร้างเม็ดสีใหม่ครับ

3.Liver Spot ลักษณะเป็นสีน้ำตาลอ่อน รูปสามเหลี่ยมขอบไม่ชัดเจน เป็นซ้ายขวาทั้งสองด้านสมมาตรกัน พบมากในผู้หญิง ช่วง 30-40 ปี โดยเฉพาะหลังคลอดบุตร 1 ปีแรก เนื่องจากสาเหตุมาจากภาวะฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงผิดปกติ และรังสี UV
แนวทาการดูแล
เมื่อฮอร์โมน (ต้นเหตุ) กลับมาปกติ เม็ดสีใหม่ก็จะหยุดสร้าง รอยจะจางลงตามลำดับ แต่เช่นกันครับ เราควรให้ความชุ่มชื้นเป็นหลัก เพื่อให้ผลัดเม็ดสีเก่าออกไปได้เร็วขึ้น รวมถึงทากันแดดเพื่อป้องกันการสร้างเม็ดสีใหม่ครับ แต่ในบางรายที่เป็นมาก ควรพบแพทย์ ซึ่งแพทย์มักจะจ่ายยากินที่ชื่อว่า Tranexamic Acid ครับ

สิ่งที่ผมพยายามจะบอกให้ทุก ๆ คนทราบ ก็คือ
“ความชุ่มชื้นที่แท้จริงทั้งน้ำและน้ำมันซึมซามไปถึงภายใน”
เป็นสิ่งสำคัญมากจริง ๆ ครับ
เป็นสิ่งที่ฟังดูไม่หวือหวา แต่มั่นคง และยั่งยืนที่ผิวเราต้องการ
ช่วยให้ผิวแข็งแรง ปัญหาต่าง ๆ เช่น สิว ฝ้า กระ ระคายเคือง เกิดน้อยลง หรือถึงเกิดก็ฟื้นตัวกลับมาได้เร็ว
ผมชอบยกตัวอย่างว่า ผิวที่ชุ่มชื้นจะเหมือนลูกโป่งน้ำ นอกจากจะแน่น อิ่มฟู ทำให้ผิวสุขภาพดีแล้ว ยังช่วยสะท้อนและหักเหแสง เกิด Blurring Effect ผิวจะแลดูสว่างกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ อีกด้วยครับ
ขอบคุณครับ
บทความตอนหน้าจะเป็นอะไร ฝากติดตามด้วยนะครับ
Tag : ฝ้ากระ จุดด่างดำ รอยสิว ไม่กระจ่างใส
#AMTSkincare #AMTHandbook #YourSkinGuardian #Skincare #สกินแคร์
ติดตามและเป็นกำลังใจให้กับพวกเราได้ที่

The Skincare Handbook by AMT Skincare
คอนเทนต์ให้ความรู้เกี่ยวกับผิว และวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับสกินแคร์
ตอนที่ 17 เมื่อผิวผลิต “เม็ดสี” มากเกินไป (Hyperpigmentation)
สวัสดีครับ ก่อนอื่นผมขอฝากลิงค์คอนเทนต์ย้อนหลัง เกี่ยวกับ เซลล์ที่สร้างเม็ดสี หรือ Melanocyte เอาไว้อ่านเพื่อปูความรู้เรื่องเม็ดสีครับ
ตอนที่ 3 Melanocyte
https://www.facebook.com/amtskincare/posts/149467153365796
ก่อนอื่น เราต้องยอมรับความจริงก่อนครับว่า เม็ดสี (Melanin) มีประโยชน์มากกว่ามีโทษครับ
เพราะว่า เม็ดสีเหล่านี้ช่วยดูดซับรังสี UV ทำให้เราไม่เป็นมะเร็งผิวหนัง ช่วยดูดซับอนุมูลอิสระที่เกิดจากการอักเสบ เป็นต้นครับ
เพียงแต่ว่า ในบางครั้ง เม็ดสีเหล่านี้ก็ถูกสร้างขึ้นมามากเกินไปครับ แต่ถึงถูกสร้างออกมามากเกินไป ในทางการแพทย์เราไม่ต้องรักษาก็ได้ครับ
นอกจากนี้ ในบางประเทศที่ใช้ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ ถ้าเราจะเบิกประกันเพื่อรักษา ฝ้า กระ เราไม่สามารถทำได้ครับ เพราะถือเป็นเรื่องความสวยความงาม ครับ
แต่เรื่อง ความสวยความงาม เป็นเรื่องใหญ่ครับ ผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลในเรื่อง ความสว่างกระจ่างใส ทำให้สีผิวแลดูสม่ำเสมอ มีมากมายครับ มีกันมานานแล้ว และผมเชื่อว่าคงจะมีไปเรื่อย ๆ ครับ
บทความวันนี้ ผมจะมาเล่าให้ฟังถึง ความผิดปกติแต่ละชนิดที่เกี่ยวกับการสร้างเม็ดสีที่มากเกินไป
ชนิดที่สกินแคร์ช่วยได้
และชนิดที่สกินแคร์ช่วยไม่ได้
รวมถึงแนวทางการดูแลให้เม็ดสีเหล่านั้นแลดูจางลง ผิวแลดูสว่างกระจ่างใส สีผิวแลดูสม่ำเสมอ มากขึ้นครับ
รายละเอียดอ่านได้ในข้อความใต้ภาพเลยนะครับ


เราเริ่มกันที่ ความผิดปกติที่ skincare ช่วย “ไม่ได้” ก่อนครับ
ที่พบมากจะมี 2 ชนิดครับคือ
1.Freckle มีลักษณะเป็นจุดเล็ก ๆ (เส้นผ่านศูนย์กลางต่ำกว่า 5 mm) สีน้ำตาลอ่อน ถึง น้ำตาลเข้ม กระจายอยู่ทั่วใบหน้า และมีลักษณะที่พิเศษไม่เหมือนใคร คือ เป็นที่สันจมูกด้วยครับ ความผิดปกติแบบนี้มีสาเหตุมาจาก พันธุกรรมเป็นหลัก โดยมีรังสี UV เป็นตัวกระตุ้นครับ
2.Seborrheic Keratosis พบมากในอายุ 50 ปีขึ้นไป จุดสังเกตคือ จะยกนูน ไม่ใช่เรียบ ๆ เหมือนฝ้ากระทั่วไป สาเหตุมาจากอายุ โดยมีรังสี UV เป็นตัวกระตุ้นเช่นกันครับ
ความผิดปกติเหล่านี้ การรักษามีหลายวิธี แต่ที่นิยม คือการใช้ เลเซอร์ หรือ การผ่าตัดโดยใช้ความเย็น ครับ

ทีนี้เรามาเข้าเนื้อหาหลักกันครับ นั่นคือ ความผิดปกติที่ Skincare “ช่วยได้” ครับ
ที่พบมากจะมี 3 ชนิดครับคือ
1.Age Spot หรือบางทีเรียกว่า UV Spot ลักษณะคือ ตอนเริ่มแรกจะเป็นสีน้ำตาลจาง ๆ และจะค่อย ๆ เข้มและขอบชัดขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มเป็นได้ตั้งแต่อายุ 20-30 ปี ส่วนมากจะเป็นที่โหนกแก้ม ขมับ และหลังมือ เนื่องจากเป็นบริเวณที่โดนแดดมาก จุดที่เป็น ซ้ายขวาจะไม่สมมาตรกัน บางทีก็เป็นแค่ฝั่งเดียว
สาเหตุเกิดจาก รังสี UV กระตุ้นให้สร้างเม็ดสีเยอะขึ้น ประกอบกับเมื่ออายุเพิ่มขึ้น หรือเมื่อผิวแห้ง ผิวจะผลัดตัวช้าลง ทำให้เม็ดสีเหลือสะสม เห็นเป็นจุดสีที่เด่นชัดขึ้นครับ
แนวทางการดูแด
– ลดการเกิดเม็ดสีใหม่ โดยการทากันแดด และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดเม็ดสี เช่น Niacinamide เป็นต้น
– ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ช่วยให้ผิวผลัดตัวเร็วขึ้น เม็ดสีเก่าจะได้หลุดออกไป

2.Post Inflammatory Hyperpigmentation (PIH) เป็นเม็ดสีที่เกิดขึ้นมากเกินไป โดยเกิดในตำแหน่งที่เคยมีการอักเสบมาก่อน ลักษณะจะเป็น รอยแดง หรือ น้ำตาลเข้ม เม็ดสีนี้จะเกิดขึ้นหลังเป็นสิวอักเสบ หลังยุงหรือแมลงกัด รวมถึงบาดแผลทั่วไป
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่า หลังเกิดการอักเสบ ร่างกายจะปล่อยสารมาทำลายเชื้อสิว มาทำลายผิวเก่าที่เสียไปแล้ว สารเหล่านี้ชื่อว่า ROS โดย ROS ก็จะไปทำลายผิวที่ยังดีอยู่ด้วย ผิวจึงต้องปล่อยเม็ดสีออกมาป้องกัน ROS อีกที จึงเป็นที่มาว่าทำไม อักเสบแล้วชอบมี รอยสี หลงเหลือ
แนวทางการดูแล
ความผิดปกติของเม็ดสีแบบนี้ “หายสนิท” ได้ครับ เมื่อการอักเสบ (ต้นเหตุ) หมดไป ผิวก็จะค่อย ๆ ผลัดเม็ดสีเก่าทิ้งออกไป ดังนั้น เราควรให้ความชุ่มชื้นเป็นหลัก เพื่อให้ผลัดเม็ดสีเก่าออกไปได้เร็วขึ้น รวมถึงทากันแดดเพื่อป้องกันการสร้างเม็ดสีใหม่ครับ

3.Liver Spot ลักษณะเป็นสีน้ำตาลอ่อน รูปสามเหลี่ยมขอบไม่ชัดเจน เป็นซ้ายขวาทั้งสองด้านสมมาตรกัน พบมากในผู้หญิง ช่วง 30-40 ปี โดยเฉพาะหลังคลอดบุตร 1 ปีแรก เนื่องจากสาเหตุมาจากภาวะฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงผิดปกติ และรังสี UV
แนวทาการดูแล
เมื่อฮอร์โมน (ต้นเหตุ) กลับมาปกติ เม็ดสีใหม่ก็จะหยุดสร้าง รอยจะจางลงตามลำดับ แต่เช่นกันครับ เราควรให้ความชุ่มชื้นเป็นหลัก เพื่อให้ผลัดเม็ดสีเก่าออกไปได้เร็วขึ้น รวมถึงทากันแดดเพื่อป้องกันการสร้างเม็ดสีใหม่ครับ แต่ในบางรายที่เป็นมาก ควรพบแพทย์ ซึ่งแพทย์มักจะจ่ายยากินที่ชื่อว่า Tranexamic Acid ครับ

สิ่งที่ผมพยายามจะบอกให้ทุก ๆ คนทราบ ก็คือ
“ความชุ่มชื้นที่แท้จริงทั้งน้ำและน้ำมันซึมซามไปถึงภายใน”
เป็นสิ่งสำคัญมากจริง ๆ ครับ
เป็นสิ่งที่ฟังดูไม่หวือหวา แต่มั่นคง และยั่งยืนที่ผิวเราต้องการ
ช่วยให้ผิวแข็งแรง ปัญหาต่าง ๆ เช่น สิว ฝ้า กระ ระคายเคือง เกิดน้อยลง หรือถึงเกิดก็ฟื้นตัวกลับมาได้เร็ว
ผมชอบยกตัวอย่างว่า ผิวที่ชุ่มชื้นจะเหมือนลูกโป่งน้ำ นอกจากจะแน่น อิ่มฟู ทำให้ผิวสุขภาพดีแล้ว ยังช่วยสะท้อนและหักเหแสง เกิด Blurring Effect ผิวจะแลดูสว่างกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ อีกด้วยครับ
ขอบคุณครับ
บทความตอนหน้าจะเป็นอะไร ฝากติดตามด้วยนะครับ
Tag : ฝ้ากระ จุดด่างดำ รอยสิว ไม่กระจ่างใส
#AMTSkincare #AMTHandbook #YourSkinGuardian #Skincare #สกินแคร์
ติดตามและเป็นกำลังใจให้กับพวกเราได้ที่