ปัญหาสิวนั้น เรียกได้ว่าเป็นปัญหาใหญ่ของหลาย ๆ ท่านเลยก็ว่าได้ นอกจากนี้พอสิวหายแล้ว ก็มักจะทิ้ง “รอยสิว” เอาไว้ให้ดูต่างหน้า เรียกได้ว่าเป็นปัญหากวนใจไม่น้อยไปกว่าปัญหาสิวเลยทีเดียว แล้วถ้าไม่อยากเป็นรอยสิว ต้องทำอย่างไร? เรามีเคล็ดลับในการดูแลรักษามาฝาก
- รอยแดง เกิดจากอะไร ?
- รอยดำ เกิดจากอะไร ?
- รอยบุ๋ม รอยนูน เกิดจากอะไร ?
- นานแค่ไหนรอยสิวถึงจะหาย ?
- วิธีป้องกัน และรักษารอยสิว
รอยแดง
รอยแดง หรือ Post-inflammatory Erythema (PIE) เกิดจากกระบวนการอักเสบ ซึ่งเป็นกระบวนการป้องกันตัวเองชนิดหนึ่ง เพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ เช่น เชื้อโรค เชื้อสิว สารก่อแพ้ เมื่อเชื้อสิวเข้ามาจู่โจมผิว จะเกิดการอักเสบ หลอดเลือดเกิดการขยายตัวเพื่อขนส่ง ROS มากำจัดเชื้อสิว แต่ ROS ทำลายเนื้อเยื่อบริเวณนั้นไปด้วย จึงเกิดความเสียหาย เป็นรอยแดง
พอเวลาผ่านไป การอักเสบหมดลง หลอดเลือดกลับมาเป็นปกติ รอยที่เคยเห็นสีแดงนั้นก็จะหายไป เห็นเป็นรอยดำโผล่มาแทน แต่ !! ไม่ใช่ว่ารอยแดงนั้นพอนานๆ ไปจะเปลี่ยนสีเป็นสีดำ ที่จริงคือรอยดำเกิดมาตั้งแต่ตอนเป็นสิวอักเสบ พร้อม ๆ กับรอยแดง แต่พอสีแดงหายไป เลยเหลือแต่สีดำให้เห็น

รอยดำ
รอยดำ หรือ Post-inflammatory Hyperpigmentation (PIH) เกิดขึ้นเมื่อเชื้อสิวถูกทำลายหมด หลอดเลือดหดตัว กลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ ROS ที่ทำลายเชื้อสิวยังอยู่ เซลล์ที่ผลิตเม็ดสี (Melanocyte) จึงสร้างเม็ดสี Melanin มาดูดซับ ROS ไม่ให้ทำลายเนื้อเยื่อมากไปกว่านี้ ผลที่ตามมาก็คือ เม็ดสี Melanin ที่มากไป จะทำให้เกิดเป็นรอยดำนั่นเอง

รอยบุ๋ม รอยนูน
นอกจากรอยที่เป็นสีแดงและดำแล้ว ก็ยังมีรอยที่เป็นรอยบุ๋มและรอยนูนด้วย
Q : “รอยแดงรอยดำ” กับ “รอยบุ๋มรอยนูน” ต่างกันอย่างไร ?
A : “รอยแดงและรอยดำ” เกิดขึ้นที่ “ผิวหนังชั้นนอก” เท่านั้น แต่ “รอยบุ๋มรอยนูน” เกิดจาก “ผิวหนังชั้นหนังแท้” ที่อยู่ลึกลงไปได้รับความเสียหาย แล้วซ่อมแซมตัวเองกลับมาได้ไม่ดี
“รอยบุ๋ม” เกิดจากชั้นหนังแท้ ผลิตคอลลาเจนออกมาซ่อมแซมเนื้อเยื่อ “ไม่พอ” เลยเกิด “รอยบุ๋ม”
ส่วน “รอยนูน” เกิดจากชั้นหนังแท้ผลิตคอลลาเจนออกมาซ่อมแซมเนื้อเยื่อ “มากเกินไป” เลยเกิด “รอยนูน” นั่นเอง

นานแค่ไหนรอยสิวถึงจะหาย ?
ปกติรอยสิวสามารถหายได้เอง เฉลี่ยใช้เวลา 6 เดือน ขึ้นอยู่กับความสามารถในการผลัดเซลล์ผิว เพื่อผลัดเม็ดสีทิ้งของแต่ละคน และถ้าสังเกตดี ๆ บริเวณ U-zone (แก้ม, กรอบหน้า) เป็นแล้วมักจะหายช้า เป็นเพราะว่า บริเวณ U-zone นั้น มีไขมันน้อย ผิวมักแห้ง รอยสิวจึงมักหายช้า โดยปกติแล้ว กระบวนการผลัดเซลล์ผิวของคนเรา ต้องใช้เอนไซม์ในการทำงาน ถ้าผิวไม่ชุ่มชื้น ไม่มีน้ำ เอนไซม์ก็จะทำงานไม่ได้ เซลล์ผิวก็จะผลัดตัวได้ไม่ดี รอยสิวก็จะหายช้า ดังนั้น เราควรให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวที่มากเพียงพอ เมื่อผิวชุ่มชื้น เอนไซม์ก็จะสามารถทำงานได้ดี ผิวก็จะผลัดเซลล์ดี รอยดำก็จะจางเร็ว (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

ถ้าไม่อยากเป็นรอยสิว ทำอย่างไร ?
- ป้องกันการเกิดสิว (เพราะถ้าไม่เกิดสิว ก็ไม่มีรอย)
- ล้างหน้าให้ถูกวิธี หากแต่งหน้าหรือใช้กันแดดแบบกันน้ำ ควรเลือกใช้ Make-up remover ให้เหมาะสมกับระดับความสกปรก แล้วตามด้วย Face wash เสมอ
- บำรุงผิวด้วยสกินแคร์ ให้มีสมดุลน้ำ และน้ำมันที่เหมาะสม สามารถช่วยลดโอกาสการเกิดสิวได้
- ถ้ามีรอยสิวแล้ว ควรบำรุงให้ผิวชุ่มชื้น มีสมดุลน้ำและน้ำมันดี เซลล์ผิวก็จะผลัดตัวดี รอยแดง รอยดำจากสิวจะจางเร็ว

ถ้าไม่อยากเป็นรอยนูน รอยบุ๋ม ทำอย่างไร ?
พยายามอย่าให้เกิดสิวอักเสบ เพราะรอยนูนและรอยบุ๋มนั้นสกินแคร์ช่วยได้น้อย “การป้องกันจึงสำคัญที่สุด”
ไม่บีบ หรือแกะสิวโดยเด็ดขาด! เพราะการบีบแกะจะไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ทำให้เนื้อเยื่อถูกทำลาย และเกิดรอยบุ๋ม
ถ้าเป็น “รอยบุ๋มใหม่ ๆ” ยังมีรอยแดงอยู่ หลอดเลือดยังขยายตัวและยังสามารถรับสารอาหารได้อยู่ Niacinamide อาจช่วยได้ เพราะสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ได้

🤎จบทุกปัญหาผิว ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ฟรี!
Line @amtskincare