
ผมจะมาพูดเกี่ยวกับ “รอยสิว” ครับ รายละเอียดเป็นอย่างไรบ้าง เชิญติดตามอ่านต่อใต้ภาพได้เลยครับ

คำตอบก็คือ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการ “อักเสบ” เกิดขึ้น ก็มักจะทำให้เกิด “รอย” ตามมาครับ นั่นหมายความว่า สิวอุดตัน ที่ไม่มีการอักเสบ บวม แดง มักจะไม่ทิ้งรอย แต่สิวที่มีการอักเสบ มีการบวม แดง ร้อน และอาจมีหนองหากมีการติดเชื้อร่วมด้วย รวมถึง สิวฮอร์โมน สิวหน้ากาก สิวหัวช้าง (Cystic acne) มักจะทิ้งรอย (รายละเอียดเรื่องสิว
อ่านต่อได้ใน Handbook ตอนที่ 15 bit.ly/3abNZ6k และตอนที่ 16 bit.ly/3oQ2p00 เรื่อง สิว คลิกที่ลิ้งก์ได้เลยครับ) ส่วนรอยสิวที่เกิดขึ้นนั้น มีแบบไหนบ้าง อ่านต่อรูปถัดไปได้เลยครับ

แบบแรกก็คือ รอยแดงครับ รอยแดงจะเกิดตอนสิวอักเสบหายใหม่ ๆ เกิดจากหลอดเลือดขยายตัวเพื่อขนส่งสารที่มีชื่อว่า Reactive Oxygen Species (ROS) มาทำลายเชื้อสิว ซึ่งไม่ใช่แค่เชื้อสิวอย่างเดียวที่โดนทำลายไป แต่เนื้อเยื่อบางส่วนก็
โดนทำลายไปด้วยเหมือนกัน ส่วนรอยดำนั้น เรามักจะเห็นมันก็ต่อเมื่อรอยแดงหายสนิทแล้ว ซึ่งผมจะขออธิบายเรื่องรอยแดง
และรอยดำแบบละเอียด ในรูปถัดไปครับ

เปรียบได้กับสภาวะหลังสงครามเลยครับ ทหารรบกับศัตรู บ้านเรือน และต้นไม้แถวนั้นก็ถูกทำลายไปด้วย หลังสงครามจบ
ทุกอย่างก็พังยับ มีซากทหารเกลื่อนเต็มสนามรบ ซึ่งก็คือร่องรอยจากการอักเสบนั่นเองครับ พอเวลาผ่านไป การอักเสบหมดลง หลอดเลือดก็กลับมาเป็นปกติ รอยที่เคยเห็นสีแดงนั้นก็จะหายไป เห็นเป็นรอยดำโผล่มาแทน แต่ !! ไม่ใช่ว่ารอยแดงนั้น
พอนานๆ ไปจะเปลี่ยนสีเป็นสีดำนะครับ ที่จริงคือรอยดำมันเกิดมาตั้งแต่ตอนเป็นสิวอักเสบ พร้อมๆ กับรอยแดงนั่นแหละ
แต่พอสีแดงหายไป เลยเหลือแต่สีดำให้เห็นครับ รายละเอียดเรื่องรอยดำ อ่านต่อรูปถัดไปได้เลยครับ

กลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ ROS ที่ทำลายเชื้อสิวยังอยู่ เซลล์ที่ผลิตเม็ดสี (Melanocyte) จึงสร้างเม็ดสี Melanin มาดูดซับ ROS ไม่ให้ทำลายเนื้อเยื่อมากไปกว่านี้ ผลที่ตามมาก็คือ เม็ดสี Melanin ที่มากไป จะทำให้เกิดเป็นรอยดำนั่นเองครับ
(รายละเอียดเพิ่มเติม อ่านต่อได้ใน Handbook ตอนที่ 3 Melanocyte หรือคลิก bit.ly/2JWEYDG ครับ)
ที่จริงรอยดำนี้ มีอยู่ตั้งแต่ตอนเป็นสิวแล้ว แต่พอสิวหาย รอยแดงหาย รอยดำก็เลยปรากฏขึ้นมาให้เห็นครับ

6 เดือน ขึ้นอยู่กับความสามารถในการผลัดเซลล์ผิว เพื่อผลัดเม็ดสีทิ้งของแต่ละคนครับ และถ้าสังเกตดี ๆ บริเวณ U-zone (แก้ม, กรอบหน้า) เป็นแล้วมักจะหายช้า ทุกท่านคิดว่าทำไมครับ ? คำตอบก็คือ บริเวณ U-zone นั้น มีไขมันน้อย ผิวมักแห้ง รอยสิวจึงมักหายช้าครับ โดยปกติแล้ว กระบวนการผลัดเซลล์ผิวของคนเรา จะต้องใช้สิ่งที่เรียกว่าเอนไซม์ในการทำงาน
เหมือนกับโรงงานที่ต้องมีพนักงานเดินเครื่องจักรครับ ถ้าผิวแห้ง ก็เปรียบเสมือนกับการที่พนักงานไม่ได้ดื่มน้ำ
ก็จะไม่มีแรงทำงาน เอนไซม์ก็เช่นเดียวกันครับ ถ้าผิวไม่ชุ่มชื้น ไม่มีน้ำ เอนไซม์ก็จะทำงานไม่ได้ เซลล์ผิวก็จะผลัดตัวได้ไม่ดี
รอยสิวก็จะหายช้า ดังนั้น เราควรให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวที่มากเพียงพอ เมื่อผิวชุ่มชื้น เอนไซม์ก็จะสามารถทำงานได้ดี
ผิวก็จะผลัดเซลล์ดี รอยดำก็จะหลุดเร็ว (รายละเอียดเพิ่มเติม : รู้หรือไม่ ? ผิวยิ่งแห้ง เซลล์ผิวเก่ายิ่งผลัดตัวไม่ดี หรือคลิก bit.ly/3843r1H ได้เลยครับ)

ต่างกันอย่างไร ?
คำตอบก็คือ “รอยแดงและรอยดำ” เกิดขึ้นที่ “ผิวหนังชั้นนอก” เท่านั้นครับ แต่ “รอยนูนและรอยบุ๋ม” เกิดจาก “ผิวหนังชั้นหนังแท้”
ที่อยู่ลึกลงไปได้รับความเสียหาย แล้วซ่อมแซมตัวเองกลับมาได้ไม่ดี

“รอยบุ๋ม” นั้น เกิดจากชั้นหนังแท้ ผลิตคอลลาเจนออกมาซ่อมแซมเนื้อเยื่อ “ไม่พอ” เลยเกิด “รอยบุ๋ม”
ส่วน “รอยนูน” เกิดจากชั้นหนังแท้ผลิตคอลลาเจนออกมาซ่อมแซมเนื้อเยื่อ “มากเกินไป” เลยเกิด “รอยนูน” นั่นเองครับ

1.ป้องกันการเกิดสิว (เพราะถ้าไม่เกิดสิว ก็ไม่มีรอยครับ)
1.1 โดยการล้างหน้าให้ถูกวิธี หากแต่งหน้าหรือใช้กันแดดแบบกันน้ำ ควรเลือกใช้ Make-up remover ให้เหมาะสมกับระดับความสกปรก แล้วตามด้วย Face wash เสมอ
1.2 บำรุงผิวด้วยสกินแคร์ ให้มีสมดุลน้ำ น้ำมันภายนอกและภายในที่เหมาะสม สามารถช่วยลดโอกาสการเกิดสิวได้ครับ
2.แต่ !! ถ้ามีรอยสิวแล้ว ก็บำรุงให้ผิวชุ่มชื้น มีสมดุลน้ำและน้ำมันดีครับ เซลล์ผิวก็จะผลัดตัวดี รอยแดง รอยดำจากสิวก็จะจางเร็วครับ

ส่วนถ้าไม่อยากเป็นรอยนูน รอยบุ๋ม ต้องทำยังไง ?
- พยายามอย่าให้เกิดสิวอักเสบครับ เพราะรอยนูนและรอยบุ๋มนั้นสกินแคร์ช่วยได้น้อย “การป้องกันจึงสำคัญที่สุด”
- “ไม่บีบ หรือแกะสิวเองโดยเด็ดขาด !!” เพราะการบีบแกะจะไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ทำให้เนื้อเยื่อถูกทำลาย และเกิดรอยบุ๋มครับ
- ถ้าเป็น “รอยบุ๋มใหม่ ๆ” ยังมีรอยแดงอยู่ หลอดเลือดยังขยายตัวและยังสามารถรับสารอาหารได้อยู่ Niacinamide อาจช่วยได้ เพราะสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ได้ครับ (รายละเอียดอ่านต่อได้ที่ The Skincare Handbook ตอนที่ 5 คุณรู้จัก Niacinamide ดีแล้วหรือยัง ? หรือคลิก bit.ly/3gOZXUX ได้เลยครับ)
กล่าวโดยสรุปคือ การบำรุงผิวให้มีสมดุลน้ำ น้ำมันภายนอกและน้ำมันภายในที่เหมาะสม สามารถช่วยลดโอกาสการเกิดสิวได้ครับ แต่ถ้ามีรอยสิวแล้ว การบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น มีสมดุลน้ำ-น้ำมันดีนั้น จะทำให้เซลล์ผิวผลัดตัวดี รอยแดงและรอยดำก็จะหลุดเร็วครับ

เพราะเราคือ #YourSkinGuardian เราเป็นเสมือนผู้ดูแลปกป้องผิวของทุก ๆ ท่าน ผ่านการให้ความรู้และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับผิวและสกินแคร์ที่ถูกต้อง และส่งมอบผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ดีมีคุณภาพ
AMT Skincare เราเชื่อว่าความรู้เรื่องผิวและสกินแคร์ที่ถูกต้อง ประกอบกับผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ จะช่วยให้คุณบรรลุจุดมุ่งหมายในการดูแลผิวที่คุณหวังไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน หากท่านใดต้องการคำแนะนำหรือต้องการปรึกษา สามารถทักเราเข้ามาได้เลยครับ ผมและทีมงานยินดีให้คำปรึกษา และขอขอบพระคุณทุก ๆ ท่านมากครับที่ติดตามอ่านจนจบ บทความต่อไปจะเป็นเรื่องอะไร ฝากติดตามกันด้วยนะครับ
Tag : รอยสิว สิว จุดด่างดำ ไม่กระจ่างใส
#AMTSkincare #AMTfamily #AMTHandbook #YourSkinGuardian #Skincare #สกินแคร์
ติดตามและเป็นกำลังใจให้พวกเราได้ที่

ผมจะมาพูดเกี่ยวกับ “รอยสิว” ครับ รายละเอียดเป็นอย่างไรบ้าง เชิญติดตามอ่านต่อใต้ภาพได้เลยครับ

คำตอบก็คือ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการ “อักเสบ” เกิดขึ้น ก็มักจะทำให้เกิด “รอย” ตามมาครับ นั่นหมายความว่า สิวอุดตัน ที่ไม่มีการอักเสบ บวม แดง มักจะไม่ทิ้งรอย แต่สิวที่มีการอักเสบ มีการบวม แดง ร้อน และอาจมีหนองหากมีการติดเชื้อร่วมด้วย รวมถึง สิวฮอร์โมน สิวหน้ากาก สิวหัวช้าง (Cystic acne) มักจะทิ้งรอย (รายละเอียดเรื่องสิว
อ่านต่อได้ใน Handbook ตอนที่ 15 bit.ly/3abNZ6k และตอนที่ 16 bit.ly/3oQ2p00 เรื่อง สิว คลิกที่ลิ้งก์ได้เลยครับ) ส่วนรอยสิวที่เกิดขึ้นนั้น มีแบบไหนบ้าง อ่านต่อรูปถัดไปได้เลยครับ

แบบแรกก็คือ รอยแดงครับ รอยแดงจะเกิดตอนสิวอักเสบหายใหม่ ๆ เกิดจากหลอดเลือดขยายตัวเพื่อขนส่งสารที่มีชื่อว่า Reactive Oxygen Species (ROS) มาทำลายเชื้อสิว ซึ่งไม่ใช่แค่เชื้อสิวอย่างเดียวที่โดนทำลายไป แต่เนื้อเยื่อบางส่วนก็
โดนทำลายไปด้วยเหมือนกัน ส่วนรอยดำนั้น เรามักจะเห็นมันก็ต่อเมื่อรอยแดงหายสนิทแล้ว ซึ่งผมจะขออธิบายเรื่องรอยแดง
และรอยดำแบบละเอียด ในรูปถัดไปครับ

เปรียบได้กับสภาวะหลังสงครามเลยครับ ทหารรบกับศัตรู บ้านเรือน และต้นไม้แถวนั้นก็ถูกทำลายไปด้วย หลังสงครามจบ
ทุกอย่างก็พังยับ มีซากทหารเกลื่อนเต็มสนามรบ ซึ่งก็คือร่องรอยจากการอักเสบนั่นเองครับ พอเวลาผ่านไป การอักเสบหมดลง หลอดเลือดก็กลับมาเป็นปกติ รอยที่เคยเห็นสีแดงนั้นก็จะหายไป เห็นเป็นรอยดำโผล่มาแทน แต่ !! ไม่ใช่ว่ารอยแดงนั้น
พอนานๆ ไปจะเปลี่ยนสีเป็นสีดำนะครับ ที่จริงคือรอยดำมันเกิดมาตั้งแต่ตอนเป็นสิวอักเสบ พร้อมๆ กับรอยแดงนั่นแหละ
แต่พอสีแดงหายไป เลยเหลือแต่สีดำให้เห็นครับ รายละเอียดเรื่องรอยดำ อ่านต่อรูปถัดไปได้เลยครับ

กลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ ROS ที่ทำลายเชื้อสิวยังอยู่ เซลล์ที่ผลิตเม็ดสี (Melanocyte) จึงสร้างเม็ดสี Melanin มาดูดซับ ROS ไม่ให้ทำลายเนื้อเยื่อมากไปกว่านี้ ผลที่ตามมาก็คือ เม็ดสี Melanin ที่มากไป จะทำให้เกิดเป็นรอยดำนั่นเองครับ
(รายละเอียดเพิ่มเติม อ่านต่อได้ใน Handbook ตอนที่ 3 Melanocyte หรือคลิก bit.ly/2JWEYDG ครับ)
ที่จริงรอยดำนี้ มีอยู่ตั้งแต่ตอนเป็นสิวแล้ว แต่พอสิวหาย รอยแดงหาย รอยดำก็เลยปรากฏขึ้นมาให้เห็นครับ

6 เดือน ขึ้นอยู่กับความสามารถในการผลัดเซลล์ผิว เพื่อผลัดเม็ดสีทิ้งของแต่ละคนครับ และถ้าสังเกตดี ๆ บริเวณ U-zone (แก้ม, กรอบหน้า) เป็นแล้วมักจะหายช้า ทุกท่านคิดว่าทำไมครับ ? คำตอบก็คือ บริเวณ U-zone นั้น มีไขมันน้อย ผิวมักแห้ง รอยสิวจึงมักหายช้าครับ โดยปกติแล้ว กระบวนการผลัดเซลล์ผิวของคนเรา จะต้องใช้สิ่งที่เรียกว่าเอนไซม์ในการทำงาน
เหมือนกับโรงงานที่ต้องมีพนักงานเดินเครื่องจักรครับ ถ้าผิวแห้ง ก็เปรียบเสมือนกับการที่พนักงานไม่ได้ดื่มน้ำ
ก็จะไม่มีแรงทำงาน เอนไซม์ก็เช่นเดียวกันครับ ถ้าผิวไม่ชุ่มชื้น ไม่มีน้ำ เอนไซม์ก็จะทำงานไม่ได้ เซลล์ผิวก็จะผลัดตัวได้ไม่ดี
รอยสิวก็จะหายช้า ดังนั้น เราควรให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวที่มากเพียงพอ เมื่อผิวชุ่มชื้น เอนไซม์ก็จะสามารถทำงานได้ดี
ผิวก็จะผลัดเซลล์ดี รอยดำก็จะหลุดเร็ว (รายละเอียดเพิ่มเติม : รู้หรือไม่ ? ผิวยิ่งแห้ง เซลล์ผิวเก่ายิ่งผลัดตัวไม่ดี หรือคลิก bit.ly/3843r1H ได้เลยครับ)

ต่างกันอย่างไร ?
คำตอบก็คือ “รอยแดงและรอยดำ” เกิดขึ้นที่ “ผิวหนังชั้นนอก” เท่านั้นครับ แต่ “รอยนูนและรอยบุ๋ม” เกิดจาก “ผิวหนังชั้นหนังแท้”
ที่อยู่ลึกลงไปได้รับความเสียหาย แล้วซ่อมแซมตัวเองกลับมาได้ไม่ดี

“รอยบุ๋ม” นั้น เกิดจากชั้นหนังแท้ ผลิตคอลลาเจนออกมาซ่อมแซมเนื้อเยื่อ “ไม่พอ” เลยเกิด “รอยบุ๋ม”
ส่วน “รอยนูน” เกิดจากชั้นหนังแท้ผลิตคอลลาเจนออกมาซ่อมแซมเนื้อเยื่อ “มากเกินไป” เลยเกิด “รอยนูน” นั่นเองครับ

1.ป้องกันการเกิดสิว (เพราะถ้าไม่เกิดสิว ก็ไม่มีรอยครับ)
1.1 โดยการล้างหน้าให้ถูกวิธี หากแต่งหน้าหรือใช้กันแดดแบบกันน้ำ ควรเลือกใช้ Make-up remover ให้เหมาะสมกับระดับความสกปรก แล้วตามด้วย Face wash เสมอ
1.2 บำรุงผิวด้วยสกินแคร์ ให้มีสมดุลน้ำ น้ำมันภายนอกและภายในที่เหมาะสม สามารถช่วยลดโอกาสการเกิดสิวได้ครับ
2.แต่ !! ถ้ามีรอยสิวแล้ว ก็บำรุงให้ผิวชุ่มชื้น มีสมดุลน้ำและน้ำมันดีครับ เซลล์ผิวก็จะผลัดตัวดี รอยแดง รอยดำจากสิวก็จะจางเร็วครับ

ส่วนถ้าไม่อยากเป็นรอยนูน รอยบุ๋ม ต้องทำยังไง ?
- พยายามอย่าให้เกิดสิวอักเสบครับ เพราะรอยนูนและรอยบุ๋มนั้นสกินแคร์ช่วยได้น้อย “การป้องกันจึงสำคัญที่สุด”
- “ไม่บีบ หรือแกะสิวเองโดยเด็ดขาด !!” เพราะการบีบแกะจะไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ทำให้เนื้อเยื่อถูกทำลาย และเกิดรอยบุ๋มครับ
- ถ้าเป็น “รอยบุ๋มใหม่ ๆ” ยังมีรอยแดงอยู่ หลอดเลือดยังขยายตัวและยังสามารถรับสารอาหารได้อยู่ Niacinamide อาจช่วยได้ เพราะสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ได้ครับ (รายละเอียดอ่านต่อได้ที่ The Skincare Handbook ตอนที่ 5 คุณรู้จัก Niacinamide ดีแล้วหรือยัง ? หรือคลิก bit.ly/3gOZXUX ได้เลยครับ)
กล่าวโดยสรุปคือ การบำรุงผิวให้มีสมดุลน้ำ น้ำมันภายนอกและน้ำมันภายในที่เหมาะสม สามารถช่วยลดโอกาสการเกิดสิวได้ครับ แต่ถ้ามีรอยสิวแล้ว การบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น มีสมดุลน้ำ-น้ำมันดีนั้น จะทำให้เซลล์ผิวผลัดตัวดี รอยแดงและรอยดำก็จะหลุดเร็วครับ

เพราะเราคือ #YourSkinGuardian เราเป็นเสมือนผู้ดูแลปกป้องผิวของทุก ๆ ท่าน ผ่านการให้ความรู้และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับผิวและสกินแคร์ที่ถูกต้อง และส่งมอบผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ดีมีคุณภาพ
AMT Skincare เราเชื่อว่าความรู้เรื่องผิวและสกินแคร์ที่ถูกต้อง ประกอบกับผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ จะช่วยให้คุณบรรลุจุดมุ่งหมายในการดูแลผิวที่คุณหวังไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน หากท่านใดต้องการคำแนะนำหรือต้องการปรึกษา สามารถทักเราเข้ามาได้เลยครับ ผมและทีมงานยินดีให้คำปรึกษา และขอขอบพระคุณทุก ๆ ท่านมากครับที่ติดตามอ่านจนจบ บทความต่อไปจะเป็นเรื่องอะไร ฝากติดตามกันด้วยนะครับ
Tag : รอยสิว สิว จุดด่างดำ ไม่กระจ่างใส
#AMTSkincare #AMTfamily #AMTHandbook #YourSkinGuardian #Skincare #สกินแคร์
ติดตามและเป็นกำลังใจให้พวกเราได้ที่