permainan spaceman slot Resmi di Indonesia

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

Handbook 28 Vitamin A: A Must in Skincare Routine

01/02/2022

แชร์บทความนี้

ปัญหาเรื่องริ้วรอยนั้น ถือเป็นปัญหาที่ทุกคนจะต้องเผชิญเมื่ออายุมากขึ้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยล่ะครับ แต่ทีนี้ เราจะทำยังไง ที่จะช่วยชะลอให้ปัญหานี้มาถึงช้าที่สุด หรือเมื่อเกิดริ้วรอยขึ้นแล้ว ก็ทำให้ดีขึ้นได้ Handbook ตอนที่ 28 นี้ ผมก็จะมาพูดถึงสารสำคัญตัวนึง นั่นก็คือ “วิตามิน A” ซึ่งนิยมใช้ในผลิตภัณฑ์จำพวก Anti-aging มาอย่างยาวนาน หลายท่านก็อาจจะคุ้นเคยหรือทราบกันอยู่แล้วว่า วิตามิน A นั้นช่วยลดเลือนริ้วรอยได้ แต่นอกเหนือจากนี้แล้วยังมีอะไรอีก ถ้าอยากรู้แล้วเชิญอ่านกันได้เลยครับ

วิตามิน A ในผิวสำคัญอย่างไร ? หลายท่านคงจะทราบกันดีว่าวิตามิน A นั้น มีคุณสมบัติที่เด่นชัดมากในเรื่องของการลดเลือนริ้วรอยลึก (รายละเอียดเกี่ยวกับริ้วรอย อ่านต่อได้ใน Handbook ตอนที่ 23 หรือคลิก http://bit.ly/2MoRdKp ได้เลยครับ) โดยวิตามิน A นั้นสามารถกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนและกรดไฮยาลูรอนิกได้ และยังสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ย่อยสลายคอลลาเจนได้อีกด้วย ทำให้ริ้วรอยจางลงได้ แต่รู้ไหมครับว่า นอกจากคุณสมบัติการลดเลือนริ้วรอยแล้ว วิตามิน A ยังสามารถต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาผิวต่าง ๆ (รายละเอียดเรื่อง Antioxidant ตามไปอ่านได้ใน Handbook ตอนที่ 27 หรือคลิก https://bit.ly/32950st ได้เลยครับ) และกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวได้ ทำให้ลดการอุดตัน และลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยดำจากสิวได้อีกด้วยครับ ยิ่งใช้คู่กับ Whitening agent เช่น Niacinamide ก็จะยิ่งได้ผลที่ดียิ่งขึ้นไปอีกครับ

เมื่ออายุมากขึ้น การขนส่งสารอาหารมาที่ผิวหนังจะเริ่มแย่ลง ทำให้ผิวหนังสร้างคอลลาเจนได้น้อยลง แล้วรู้หรือไม่ครับว่า พอหลังจากอายุ 20 ปีไปแล้วนั้น ความสามารถในการสร้างคอลลาเจนของคนเราจะลดลง และปริมาณคอลลาเจนจะลดลงเฉลี่ยปีละ 1% เลยทีเดียว ดังนั้น หากใครที่เคยคิดว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Anti-aging เหมาะสำหรับคนอายุ 40+ นั้น จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลยครับ Anti-aging Skincare โดยเฉพาะที่มีส่วนผสมของวิตามิน A นั้น  วัย 20+ ก็ควรเริ่มเพิ่มเข้าไปใน Skincare Routine แล้วครับผม เพื่อช่วยชดเชยการสร้างคอลลาเจนที่เริ่มลดลงในช่วงวัยนี้นั่นเองครับ

วิตามิน A ที่ใช้สำหรับทานั้น มีอยู่ด้วยกันหลายชนิดเลยครับ แต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติ ข้อดีและข้อจำกัดต่าง ๆ กันไป

ชนิดแรกก็คือ Retinoic Acid หรือ กรดวิตามิน A ซึ่งจัดเป็นยาครับ ในไทยไม่สามารถใช้ในสกินแคร์ได้ และต้องใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้นครับ Retinoic Acid มีข้อจำกัดที่สำคัญคือ สามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ค่อนข้างมาก และไม่ค่อยคงตัว

ส่วนชนิดที่ 2-4 คือ

– Retinyl Palmitate

– Retinol

– Retinal 

ซึ่งเป็นวิตามิน A ในรูปแบบที่สามารถใช้ในสกินแคร์ได้ครับ ซึ่งถ้าเราเปรียบเทียบวิตามิน A ที่ใช้ในสกินแคร์ชนิดต่าง ๆ ตามตารางนี้ ก็จะเห็นว่า

Retinyl Palmitate นั้นมีความคงตัวมากที่สุด และระคายเคืองน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับชนิดอื่น ๆ แต่เมื่อพิจารณาเรื่องประสิทธิภาพก็อยู่ในระดับกลาง ๆ ส่วนความสามารถในการซึมผ่านผิวหนัง ยังถือว่าไม่ดีเท่าชนิดอื่นครับ

ส่วน Retinol การซึมผ่านผิวจะดีมาก แต่ข้อเสียก็คือไม่ค่อยคงตัว และก่อให้เกิดการระคายเคือง Retinal ก็คุณสมบัติคล้าย ๆ กับ Retinol ครับ แต่การซึมผ่านผิวนั้นจะแย่กว่า Retinoic Acid

แต่ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน A ในรูปแบบใด เมื่อผิวจะนำไปใช้ จะต้องเปลี่ยนรูปให้เป็นรูปที่เรียกว่า Retinoic Acid ก่อนที่จะนำไปใช้ ซึ่งในผิวจะมีเอนไซม์หลายตัวในกลุ่ม Esterase และ Oxidase ช่วยกันเพื่อเปลี่ยนวิตามินจาก Retinyl Palmitate > Retinol > Retinal > Retinoic Acid ตามลำดับครับ

รู้หรือไม่ครับว่า ร่างกายคนเรานั้นไม่สามารถที่จะสร้างวิตามิน A ขึ้นมาได้ครับ จำเป็นจะต้องได้รับจากภายนอกเท่านั้น ซึ่งทางที่เราจะได้รับวิตามิน A ได้มี 2 ทางนั่นก็คือ

การกิน (Oral) และการทา (Topical) ครับ

ด้วยเหตุนี้เอง ผมถึงได้ตั้งชื่อหัวข้อบทความนี้ว่า วิตามิน A เป็น “A Must” ใน Skincare Routine ครับ ทีนี้เรามาดูกันครับว่า ทางการกิน และ ทางการทา มีข้อจำกัดต่างกันอย่างไร

  1. ทางการกิน (Oral) ในธรรมชาติ วิตามิน A นั้นมักพบอยู่ในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ตับ ไข่ นม ผักใบเขียว ผักและผลไม้ที่มีสีส้ม เช่น แครอท มะละกอ เมื่อเรากินเข้าไป จะถูกดูดซึม และส่งไปทำลายที่ตับเป็นลำดับแรก นี่เป็นข้อจำกัดแรกของทางการกินครับ วิตามิน A บางส่วนที่เหลือที่ไม่ถูกทำลายโดยตับ จะถูกเก็บสะสมไว้ในตับในรูป Retinyl Palmitate ซึ่งเป็นรูปที่ระคายเคืองน้อยและคงตัวสูง ก่อนที่จะถูกส่งไปทั่วร่างกายรวมถึงผิวหนังด้วย ซึ่งผิวหนังของคนเรานั้น ก็จะเก็บวิตามิน A ในรูป Retinyl Palmitate เป็นส่วนใหญ่เช่นกัน เนื่องจากมีความคงตัวสูงและระคายเคืองต่ำ จะเห็นได้ว่า หากเราต้องการวิตามิน A ที่ผิวหนัง การได้รับวิตามิน A ในรูปแบบการกินนั้น บางส่วนจะถูกทำลายที่ตับ ส่วนที่เหลือก็ถูกส่งไปที่อวัยวะอื่นด้วย ดังนั้น ผิวอาจจะไม่ได้รับวิตามิน A เต็มที่
  1. ทางการทา (Topical) มีข้อดีกว่าทางการกินตรงที่ เป็นการให้โดยตรงไปที่ผิวหนัง รวดเร็วกว่าทางการกิน แถมได้รับปริมาณวิตามิน A ที่ผิวหนังแบบเต็มที่เพราะไม่โดนทำลายที่ตับ แต่การให้วิตามิน A โดยการทานั้น มีข้อดีข้อเสียต่างกัน ขึ้นกับชนิดของวิตามิน A ที่ใช้ในสูตร เช่น Retinyl Palmitate เป็นชนิดที่อ่อนโยน ไม่ระคายเคืองผิว แต่การซึมผ่านเข้าสู่ผิวไม่ดี ส่วน Retinol เป็นชนิดที่การซึมผ่านเข้าสู่ผิวดี แต่ดันก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว 

วิตามิน A ในสกินแคร์นั้นมีหลายชนิด เช่น Retinyl Palmitate, Retinol โดยแต่ละชนิดก็จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน บางชนิดที่ไม่ระคายเคืองผิว ก็ซึมไม่ดี บางชนิดซึมดี แต่ก็ระคายเคืองผิว แล้วแบบนี้เราจะเลือกใช้ชนิดไหนดีล่ะครับ ?? คำตอบก็คือ นี่เลยครับผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ล่าสุดจาก AMT Skincare  “AMT Anti-aging & Intensive Moisturizing Night Cream” 
ผมเลือกใช้วิตามิน A รูปแบบ Retinyl Palmitate ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีอยู่ในผิวหนังของเราโดยธรรมชาติอยู่แล้ว มีความปลอดภัยสูง ระคายเคืองต่ำ อีกทั้งยังมีความคงตัวสูง แต่ตัวนี้เดิมทีมีข้อจำกัดในเรื่องการซึมผ่านเข้าสู่ผิวที่ไม่ดีนัก  ดังนั้น ผมจึงเสริมประสิทธิภาพในการซึมผ่านด้วยสิ่งที่ผมถนัดและเชี่ยวชาญ นั่นก็คือ เทคโนโลยีในการนำส่งสาร ผมขอตั้งชื่อว่า AMT Innovative Penetration Enhancement System ซึ่งเป็นระบบนำส่งสารสำคัญเข้าสู่ผิวโดยเฉพาะสำหรับ AMT เป็นการรวบรวมเอาข้อดีของวิตามิน A แต่ละชนิด มาไว้ที่เดียวกันเลยครับ ยังไงผมขอฝากทุกท่าน ติดตามผลิตภัณฑ์ตัวใหม่นี้กันด้วยนะครับ อีกไม่นานเกินรอแน่นอน ส่วน Handbook ครั้งหน้าจะเป็นเรื่องอะไรนั้น ก็อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ

Tag : ริ้วรอย ฝ้ากระ จุดด่างดำ รอยสิว สิว ไม่กระจ่างใส รูขุมขนกว้าง

#AMTSkincare #AMTfamily #AMTHandbook #YourSkinGuardian #Skincare #สกินแคร์

ติดตามและเป็นกำลังใจให้พวกเราได้ที่

https://linktr.ee/AMTSkincare

ปัญหาเรื่องริ้วรอยนั้น ถือเป็นปัญหาที่ทุกคนจะต้องเผชิญเมื่ออายุมากขึ้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยล่ะครับ แต่ทีนี้ เราจะทำยังไง ที่จะช่วยชะลอให้ปัญหานี้มาถึงช้าที่สุด หรือเมื่อเกิดริ้วรอยขึ้นแล้ว ก็ทำให้ดีขึ้นได้ Handbook ตอนที่ 28 นี้ ผมก็จะมาพูดถึงสารสำคัญตัวนึง นั่นก็คือ “วิตามิน A” ซึ่งนิยมใช้ในผลิตภัณฑ์จำพวก Anti-aging มาอย่างยาวนาน หลายท่านก็อาจจะคุ้นเคยหรือทราบกันอยู่แล้วว่า วิตามิน A นั้นช่วยลดเลือนริ้วรอยได้ แต่นอกเหนือจากนี้แล้วยังมีอะไรอีก ถ้าอยากรู้แล้วเชิญอ่านกันได้เลยครับ

วิตามิน A ในผิวสำคัญอย่างไร ? หลายท่านคงจะทราบกันดีว่าวิตามิน A นั้น มีคุณสมบัติที่เด่นชัดมากในเรื่องของการลดเลือนริ้วรอยลึก (รายละเอียดเกี่ยวกับริ้วรอย อ่านต่อได้ใน Handbook ตอนที่ 23 หรือคลิก http://bit.ly/2MoRdKp ได้เลยครับ) โดยวิตามิน A นั้นสามารถกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนและกรดไฮยาลูรอนิกได้ และยังสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ย่อยสลายคอลลาเจนได้อีกด้วย ทำให้ริ้วรอยจางลงได้ แต่รู้ไหมครับว่า นอกจากคุณสมบัติการลดเลือนริ้วรอยแล้ว วิตามิน A ยังสามารถต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาผิวต่าง ๆ (รายละเอียดเรื่อง Antioxidant ตามไปอ่านได้ใน Handbook ตอนที่ 27 หรือคลิก https://bit.ly/32950st ได้เลยครับ) และกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวได้ ทำให้ลดการอุดตัน และลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยดำจากสิวได้อีกด้วยครับ ยิ่งใช้คู่กับ Whitening agent เช่น Niacinamide ก็จะยิ่งได้ผลที่ดียิ่งขึ้นไปอีกครับ

เมื่ออายุมากขึ้น การขนส่งสารอาหารมาที่ผิวหนังจะเริ่มแย่ลง ทำให้ผิวหนังสร้างคอลลาเจนได้น้อยลง แล้วรู้หรือไม่ครับว่า พอหลังจากอายุ 20 ปีไปแล้วนั้น ความสามารถในการสร้างคอลลาเจนของคนเราจะลดลง และปริมาณคอลลาเจนจะลดลงเฉลี่ยปีละ 1% เลยทีเดียว ดังนั้น หากใครที่เคยคิดว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Anti-aging เหมาะสำหรับคนอายุ 40+ นั้น จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลยครับ Anti-aging Skincare โดยเฉพาะที่มีส่วนผสมของวิตามิน A นั้น  วัย 20+ ก็ควรเริ่มเพิ่มเข้าไปใน Skincare Routine แล้วครับผม เพื่อช่วยชดเชยการสร้างคอลลาเจนที่เริ่มลดลงในช่วงวัยนี้นั่นเองครับ

วิตามิน A ที่ใช้สำหรับทานั้น มีอยู่ด้วยกันหลายชนิดเลยครับ แต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติ ข้อดีและข้อจำกัดต่าง ๆ กันไป

ชนิดแรกก็คือ Retinoic Acid หรือ กรดวิตามิน A ซึ่งจัดเป็นยาครับ ในไทยไม่สามารถใช้ในสกินแคร์ได้ และต้องใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้นครับ Retinoic Acid มีข้อจำกัดที่สำคัญคือ สามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ค่อนข้างมาก และไม่ค่อยคงตัว

ส่วนชนิดที่ 2-4 คือ

– Retinyl Palmitate

– Retinol

– Retinal 

ซึ่งเป็นวิตามิน A ในรูปแบบที่สามารถใช้ในสกินแคร์ได้ครับ ซึ่งถ้าเราเปรียบเทียบวิตามิน A ที่ใช้ในสกินแคร์ชนิดต่าง ๆ ตามตารางนี้ ก็จะเห็นว่า

Retinyl Palmitate นั้นมีความคงตัวมากที่สุด และระคายเคืองน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับชนิดอื่น ๆ แต่เมื่อพิจารณาเรื่องประสิทธิภาพก็อยู่ในระดับกลาง ๆ ส่วนความสามารถในการซึมผ่านผิวหนัง ยังถือว่าไม่ดีเท่าชนิดอื่นครับ

ส่วน Retinol การซึมผ่านผิวจะดีมาก แต่ข้อเสียก็คือไม่ค่อยคงตัว และก่อให้เกิดการระคายเคือง Retinal ก็คุณสมบัติคล้าย ๆ กับ Retinol ครับ แต่การซึมผ่านผิวนั้นจะแย่กว่า Retinoic Acid

แต่ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน A ในรูปแบบใด เมื่อผิวจะนำไปใช้ จะต้องเปลี่ยนรูปให้เป็นรูปที่เรียกว่า Retinoic Acid ก่อนที่จะนำไปใช้ ซึ่งในผิวจะมีเอนไซม์หลายตัวในกลุ่ม Esterase และ Oxidase ช่วยกันเพื่อเปลี่ยนวิตามินจาก Retinyl Palmitate > Retinol > Retinal > Retinoic Acid ตามลำดับครับ

รู้หรือไม่ครับว่า ร่างกายคนเรานั้นไม่สามารถที่จะสร้างวิตามิน A ขึ้นมาได้ครับ จำเป็นจะต้องได้รับจากภายนอกเท่านั้น ซึ่งทางที่เราจะได้รับวิตามิน A ได้มี 2 ทางนั่นก็คือ

การกิน (Oral) และการทา (Topical) ครับ

ด้วยเหตุนี้เอง ผมถึงได้ตั้งชื่อหัวข้อบทความนี้ว่า วิตามิน A เป็น “A Must” ใน Skincare Routine ครับ ทีนี้เรามาดูกันครับว่า ทางการกิน และ ทางการทา มีข้อจำกัดต่างกันอย่างไร

  1. ทางการกิน (Oral) ในธรรมชาติ วิตามิน A นั้นมักพบอยู่ในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ตับ ไข่ นม ผักใบเขียว ผักและผลไม้ที่มีสีส้ม เช่น แครอท มะละกอ เมื่อเรากินเข้าไป จะถูกดูดซึม และส่งไปทำลายที่ตับเป็นลำดับแรก นี่เป็นข้อจำกัดแรกของทางการกินครับ วิตามิน A บางส่วนที่เหลือที่ไม่ถูกทำลายโดยตับ จะถูกเก็บสะสมไว้ในตับในรูป Retinyl Palmitate ซึ่งเป็นรูปที่ระคายเคืองน้อยและคงตัวสูง ก่อนที่จะถูกส่งไปทั่วร่างกายรวมถึงผิวหนังด้วย ซึ่งผิวหนังของคนเรานั้น ก็จะเก็บวิตามิน A ในรูป Retinyl Palmitate เป็นส่วนใหญ่เช่นกัน เนื่องจากมีความคงตัวสูงและระคายเคืองต่ำ จะเห็นได้ว่า หากเราต้องการวิตามิน A ที่ผิวหนัง การได้รับวิตามิน A ในรูปแบบการกินนั้น บางส่วนจะถูกทำลายที่ตับ ส่วนที่เหลือก็ถูกส่งไปที่อวัยวะอื่นด้วย ดังนั้น ผิวอาจจะไม่ได้รับวิตามิน A เต็มที่
  1. ทางการทา (Topical) มีข้อดีกว่าทางการกินตรงที่ เป็นการให้โดยตรงไปที่ผิวหนัง รวดเร็วกว่าทางการกิน แถมได้รับปริมาณวิตามิน A ที่ผิวหนังแบบเต็มที่เพราะไม่โดนทำลายที่ตับ แต่การให้วิตามิน A โดยการทานั้น มีข้อดีข้อเสียต่างกัน ขึ้นกับชนิดของวิตามิน A ที่ใช้ในสูตร เช่น Retinyl Palmitate เป็นชนิดที่อ่อนโยน ไม่ระคายเคืองผิว แต่การซึมผ่านเข้าสู่ผิวไม่ดี ส่วน Retinol เป็นชนิดที่การซึมผ่านเข้าสู่ผิวดี แต่ดันก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว 

วิตามิน A ในสกินแคร์นั้นมีหลายชนิด เช่น Retinyl Palmitate, Retinol โดยแต่ละชนิดก็จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน บางชนิดที่ไม่ระคายเคืองผิว ก็ซึมไม่ดี บางชนิดซึมดี แต่ก็ระคายเคืองผิว แล้วแบบนี้เราจะเลือกใช้ชนิดไหนดีล่ะครับ ?? คำตอบก็คือ นี่เลยครับผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ล่าสุดจาก AMT Skincare  “AMT Anti-aging & Intensive Moisturizing Night Cream” 
ผมเลือกใช้วิตามิน A รูปแบบ Retinyl Palmitate ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีอยู่ในผิวหนังของเราโดยธรรมชาติอยู่แล้ว มีความปลอดภัยสูง ระคายเคืองต่ำ อีกทั้งยังมีความคงตัวสูง แต่ตัวนี้เดิมทีมีข้อจำกัดในเรื่องการซึมผ่านเข้าสู่ผิวที่ไม่ดีนัก  ดังนั้น ผมจึงเสริมประสิทธิภาพในการซึมผ่านด้วยสิ่งที่ผมถนัดและเชี่ยวชาญ นั่นก็คือ เทคโนโลยีในการนำส่งสาร ผมขอตั้งชื่อว่า AMT Innovative Penetration Enhancement System ซึ่งเป็นระบบนำส่งสารสำคัญเข้าสู่ผิวโดยเฉพาะสำหรับ AMT เป็นการรวบรวมเอาข้อดีของวิตามิน A แต่ละชนิด มาไว้ที่เดียวกันเลยครับ ยังไงผมขอฝากทุกท่าน ติดตามผลิตภัณฑ์ตัวใหม่นี้กันด้วยนะครับ อีกไม่นานเกินรอแน่นอน ส่วน Handbook ครั้งหน้าจะเป็นเรื่องอะไรนั้น ก็อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ

Tag : ริ้วรอย ฝ้ากระ จุดด่างดำ รอยสิว สิว ไม่กระจ่างใส รูขุมขนกว้าง

#AMTSkincare #AMTfamily #AMTHandbook #YourSkinGuardian #Skincare #สกินแคร์

ติดตามและเป็นกำลังใจให้พวกเราได้ที่

https://linktr.ee/AMTSkincare

บทความอื่นๆ

ion casino

ion casino

sbotop

slot bet 100

joker123 gaming

slot deposit pulsa tanpa potongan

slot deposit pulsa tanpa potongan

bonus new member

slot filipina

slot myanmar

slot vietnam

slot garansi kekalahan 100

judi bola

slot myanmar

depo 25 bonus 25 to kecil

slot vietnam

depo 25 bonus 25

demo slot sugar rush

akun pro myanmar

slot bet kecil

bonus new member

bonus new member

joker123

demo lucky neko

slot joker123

slot garansi kekalahan

https://robertoduarte.com.br/wp-includes/Slot777/

https://billig-is.dk/wp-content/slot777/

https://www.firshop.com/wp-includes/slot777/

https://simone.co.uk/wp-content/slot777/

joker123

Situs Slot777

situs slot server kamboja

Slot Gacor 777

sbobet

situs slot server thailand

Slot Gacor 777

https://pabloscobar.com/wp-includes/slot777/

https://www.aprendetrompeta.com/wp-admin/slot777/

https://www.carehealth.uk/wp-includes/slot777/

https://justforbaby.co/slot777/

ion slot gacor

judi bola online

slot777

slot777

slot bet 100

slot bet 100

https://creativelifestyleblog.com/