เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

Handbook 28 Vitamin A: A Must in Skincare Routine

01/02/2022

แชร์บทความนี้

ปัญหาเรื่องริ้วรอยนั้น ถือเป็นปัญหาที่ทุกคนจะต้องเผชิญเมื่ออายุมากขึ้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยล่ะครับ แต่ทีนี้ เราจะทำยังไง ที่จะช่วยชะลอให้ปัญหานี้มาถึงช้าที่สุด หรือเมื่อเกิดริ้วรอยขึ้นแล้ว ก็ทำให้ดีขึ้นได้ Handbook ตอนที่ 28 นี้ ผมก็จะมาพูดถึงสารสำคัญตัวนึง นั่นก็คือ “วิตามิน A” ซึ่งนิยมใช้ในผลิตภัณฑ์จำพวก Anti-aging มาอย่างยาวนาน หลายท่านก็อาจจะคุ้นเคยหรือทราบกันอยู่แล้วว่า วิตามิน A นั้นช่วยลดเลือนริ้วรอยได้ แต่นอกเหนือจากนี้แล้วยังมีอะไรอีก ถ้าอยากรู้แล้วเชิญอ่านกันได้เลยครับ

วิตามิน A ในผิวสำคัญอย่างไร ? หลายท่านคงจะทราบกันดีว่าวิตามิน A นั้น มีคุณสมบัติที่เด่นชัดมากในเรื่องของการลดเลือนริ้วรอยลึก (รายละเอียดเกี่ยวกับริ้วรอย อ่านต่อได้ใน Handbook ตอนที่ 23 หรือคลิก http://bit.ly/2MoRdKp ได้เลยครับ) โดยวิตามิน A นั้นสามารถกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนและกรดไฮยาลูรอนิกได้ และยังสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ย่อยสลายคอลลาเจนได้อีกด้วย ทำให้ริ้วรอยจางลงได้ แต่รู้ไหมครับว่า นอกจากคุณสมบัติการลดเลือนริ้วรอยแล้ว วิตามิน A ยังสามารถต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาผิวต่าง ๆ (รายละเอียดเรื่อง Antioxidant ตามไปอ่านได้ใน Handbook ตอนที่ 27 หรือคลิก https://bit.ly/32950st ได้เลยครับ) และกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวได้ ทำให้ลดการอุดตัน และลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยดำจากสิวได้อีกด้วยครับ ยิ่งใช้คู่กับ Whitening agent เช่น Niacinamide ก็จะยิ่งได้ผลที่ดียิ่งขึ้นไปอีกครับ

เมื่ออายุมากขึ้น การขนส่งสารอาหารมาที่ผิวหนังจะเริ่มแย่ลง ทำให้ผิวหนังสร้างคอลลาเจนได้น้อยลง แล้วรู้หรือไม่ครับว่า พอหลังจากอายุ 20 ปีไปแล้วนั้น ความสามารถในการสร้างคอลลาเจนของคนเราจะลดลง และปริมาณคอลลาเจนจะลดลงเฉลี่ยปีละ 1% เลยทีเดียว ดังนั้น หากใครที่เคยคิดว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Anti-aging เหมาะสำหรับคนอายุ 40+ นั้น จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลยครับ Anti-aging Skincare โดยเฉพาะที่มีส่วนผสมของวิตามิน A นั้น  วัย 20+ ก็ควรเริ่มเพิ่มเข้าไปใน Skincare Routine แล้วครับผม เพื่อช่วยชดเชยการสร้างคอลลาเจนที่เริ่มลดลงในช่วงวัยนี้นั่นเองครับ

วิตามิน A ที่ใช้สำหรับทานั้น มีอยู่ด้วยกันหลายชนิดเลยครับ แต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติ ข้อดีและข้อจำกัดต่าง ๆ กันไป

ชนิดแรกก็คือ Retinoic Acid หรือ กรดวิตามิน A ซึ่งจัดเป็นยาครับ ในไทยไม่สามารถใช้ในสกินแคร์ได้ และต้องใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้นครับ Retinoic Acid มีข้อจำกัดที่สำคัญคือ สามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ค่อนข้างมาก และไม่ค่อยคงตัว

ส่วนชนิดที่ 2-4 คือ

– Retinyl Palmitate

– Retinol

– Retinal 

ซึ่งเป็นวิตามิน A ในรูปแบบที่สามารถใช้ในสกินแคร์ได้ครับ ซึ่งถ้าเราเปรียบเทียบวิตามิน A ที่ใช้ในสกินแคร์ชนิดต่าง ๆ ตามตารางนี้ ก็จะเห็นว่า

Retinyl Palmitate นั้นมีความคงตัวมากที่สุด และระคายเคืองน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับชนิดอื่น ๆ แต่เมื่อพิจารณาเรื่องประสิทธิภาพก็อยู่ในระดับกลาง ๆ ส่วนความสามารถในการซึมผ่านผิวหนัง ยังถือว่าไม่ดีเท่าชนิดอื่นครับ

ส่วน Retinol การซึมผ่านผิวจะดีมาก แต่ข้อเสียก็คือไม่ค่อยคงตัว และก่อให้เกิดการระคายเคือง Retinal ก็คุณสมบัติคล้าย ๆ กับ Retinol ครับ แต่การซึมผ่านผิวนั้นจะแย่กว่า Retinoic Acid

แต่ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน A ในรูปแบบใด เมื่อผิวจะนำไปใช้ จะต้องเปลี่ยนรูปให้เป็นรูปที่เรียกว่า Retinoic Acid ก่อนที่จะนำไปใช้ ซึ่งในผิวจะมีเอนไซม์หลายตัวในกลุ่ม Esterase และ Oxidase ช่วยกันเพื่อเปลี่ยนวิตามินจาก Retinyl Palmitate > Retinol > Retinal > Retinoic Acid ตามลำดับครับ

รู้หรือไม่ครับว่า ร่างกายคนเรานั้นไม่สามารถที่จะสร้างวิตามิน A ขึ้นมาได้ครับ จำเป็นจะต้องได้รับจากภายนอกเท่านั้น ซึ่งทางที่เราจะได้รับวิตามิน A ได้มี 2 ทางนั่นก็คือ

การกิน (Oral) และการทา (Topical) ครับ

ด้วยเหตุนี้เอง ผมถึงได้ตั้งชื่อหัวข้อบทความนี้ว่า วิตามิน A เป็น “A Must” ใน Skincare Routine ครับ ทีนี้เรามาดูกันครับว่า ทางการกิน และ ทางการทา มีข้อจำกัดต่างกันอย่างไร

  1. ทางการกิน (Oral) ในธรรมชาติ วิตามิน A นั้นมักพบอยู่ในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ตับ ไข่ นม ผักใบเขียว ผักและผลไม้ที่มีสีส้ม เช่น แครอท มะละกอ เมื่อเรากินเข้าไป จะถูกดูดซึม และส่งไปทำลายที่ตับเป็นลำดับแรก นี่เป็นข้อจำกัดแรกของทางการกินครับ วิตามิน A บางส่วนที่เหลือที่ไม่ถูกทำลายโดยตับ จะถูกเก็บสะสมไว้ในตับในรูป Retinyl Palmitate ซึ่งเป็นรูปที่ระคายเคืองน้อยและคงตัวสูง ก่อนที่จะถูกส่งไปทั่วร่างกายรวมถึงผิวหนังด้วย ซึ่งผิวหนังของคนเรานั้น ก็จะเก็บวิตามิน A ในรูป Retinyl Palmitate เป็นส่วนใหญ่เช่นกัน เนื่องจากมีความคงตัวสูงและระคายเคืองต่ำ จะเห็นได้ว่า หากเราต้องการวิตามิน A ที่ผิวหนัง การได้รับวิตามิน A ในรูปแบบการกินนั้น บางส่วนจะถูกทำลายที่ตับ ส่วนที่เหลือก็ถูกส่งไปที่อวัยวะอื่นด้วย ดังนั้น ผิวอาจจะไม่ได้รับวิตามิน A เต็มที่
  1. ทางการทา (Topical) มีข้อดีกว่าทางการกินตรงที่ เป็นการให้โดยตรงไปที่ผิวหนัง รวดเร็วกว่าทางการกิน แถมได้รับปริมาณวิตามิน A ที่ผิวหนังแบบเต็มที่เพราะไม่โดนทำลายที่ตับ แต่การให้วิตามิน A โดยการทานั้น มีข้อดีข้อเสียต่างกัน ขึ้นกับชนิดของวิตามิน A ที่ใช้ในสูตร เช่น Retinyl Palmitate เป็นชนิดที่อ่อนโยน ไม่ระคายเคืองผิว แต่การซึมผ่านเข้าสู่ผิวไม่ดี ส่วน Retinol เป็นชนิดที่การซึมผ่านเข้าสู่ผิวดี แต่ดันก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว 

วิตามิน A ในสกินแคร์นั้นมีหลายชนิด เช่น Retinyl Palmitate, Retinol โดยแต่ละชนิดก็จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน บางชนิดที่ไม่ระคายเคืองผิว ก็ซึมไม่ดี บางชนิดซึมดี แต่ก็ระคายเคืองผิว แล้วแบบนี้เราจะเลือกใช้ชนิดไหนดีล่ะครับ ?? คำตอบก็คือ นี่เลยครับผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ล่าสุดจาก AMT Skincare  “AMT Anti-aging & Intensive Moisturizing Night Cream” 
ผมเลือกใช้วิตามิน A รูปแบบ Retinyl Palmitate ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีอยู่ในผิวหนังของเราโดยธรรมชาติอยู่แล้ว มีความปลอดภัยสูง ระคายเคืองต่ำ อีกทั้งยังมีความคงตัวสูง แต่ตัวนี้เดิมทีมีข้อจำกัดในเรื่องการซึมผ่านเข้าสู่ผิวที่ไม่ดีนัก  ดังนั้น ผมจึงเสริมประสิทธิภาพในการซึมผ่านด้วยสิ่งที่ผมถนัดและเชี่ยวชาญ นั่นก็คือ เทคโนโลยีในการนำส่งสาร ผมขอตั้งชื่อว่า AMT Innovative Penetration Enhancement System ซึ่งเป็นระบบนำส่งสารสำคัญเข้าสู่ผิวโดยเฉพาะสำหรับ AMT เป็นการรวบรวมเอาข้อดีของวิตามิน A แต่ละชนิด มาไว้ที่เดียวกันเลยครับ ยังไงผมขอฝากทุกท่าน ติดตามผลิตภัณฑ์ตัวใหม่นี้กันด้วยนะครับ อีกไม่นานเกินรอแน่นอน ส่วน Handbook ครั้งหน้าจะเป็นเรื่องอะไรนั้น ก็อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ

Tag : ริ้วรอย ฝ้ากระ จุดด่างดำ รอยสิว สิว ไม่กระจ่างใส รูขุมขนกว้าง

#AMTSkincare #AMTfamily #AMTHandbook #YourSkinGuardian #Skincare #สกินแคร์

ติดตามและเป็นกำลังใจให้พวกเราได้ที่

https://linktr.ee/AMTSkincare

ปัญหาเรื่องริ้วรอยนั้น ถือเป็นปัญหาที่ทุกคนจะต้องเผชิญเมื่ออายุมากขึ้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยล่ะครับ แต่ทีนี้ เราจะทำยังไง ที่จะช่วยชะลอให้ปัญหานี้มาถึงช้าที่สุด หรือเมื่อเกิดริ้วรอยขึ้นแล้ว ก็ทำให้ดีขึ้นได้ Handbook ตอนที่ 28 นี้ ผมก็จะมาพูดถึงสารสำคัญตัวนึง นั่นก็คือ “วิตามิน A” ซึ่งนิยมใช้ในผลิตภัณฑ์จำพวก Anti-aging มาอย่างยาวนาน หลายท่านก็อาจจะคุ้นเคยหรือทราบกันอยู่แล้วว่า วิตามิน A นั้นช่วยลดเลือนริ้วรอยได้ แต่นอกเหนือจากนี้แล้วยังมีอะไรอีก ถ้าอยากรู้แล้วเชิญอ่านกันได้เลยครับ

วิตามิน A ในผิวสำคัญอย่างไร ? หลายท่านคงจะทราบกันดีว่าวิตามิน A นั้น มีคุณสมบัติที่เด่นชัดมากในเรื่องของการลดเลือนริ้วรอยลึก (รายละเอียดเกี่ยวกับริ้วรอย อ่านต่อได้ใน Handbook ตอนที่ 23 หรือคลิก http://bit.ly/2MoRdKp ได้เลยครับ) โดยวิตามิน A นั้นสามารถกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนและกรดไฮยาลูรอนิกได้ และยังสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ย่อยสลายคอลลาเจนได้อีกด้วย ทำให้ริ้วรอยจางลงได้ แต่รู้ไหมครับว่า นอกจากคุณสมบัติการลดเลือนริ้วรอยแล้ว วิตามิน A ยังสามารถต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาผิวต่าง ๆ (รายละเอียดเรื่อง Antioxidant ตามไปอ่านได้ใน Handbook ตอนที่ 27 หรือคลิก https://bit.ly/32950st ได้เลยครับ) และกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวได้ ทำให้ลดการอุดตัน และลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ และรอยดำจากสิวได้อีกด้วยครับ ยิ่งใช้คู่กับ Whitening agent เช่น Niacinamide ก็จะยิ่งได้ผลที่ดียิ่งขึ้นไปอีกครับ

เมื่ออายุมากขึ้น การขนส่งสารอาหารมาที่ผิวหนังจะเริ่มแย่ลง ทำให้ผิวหนังสร้างคอลลาเจนได้น้อยลง แล้วรู้หรือไม่ครับว่า พอหลังจากอายุ 20 ปีไปแล้วนั้น ความสามารถในการสร้างคอลลาเจนของคนเราจะลดลง และปริมาณคอลลาเจนจะลดลงเฉลี่ยปีละ 1% เลยทีเดียว ดังนั้น หากใครที่เคยคิดว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Anti-aging เหมาะสำหรับคนอายุ 40+ นั้น จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลยครับ Anti-aging Skincare โดยเฉพาะที่มีส่วนผสมของวิตามิน A นั้น  วัย 20+ ก็ควรเริ่มเพิ่มเข้าไปใน Skincare Routine แล้วครับผม เพื่อช่วยชดเชยการสร้างคอลลาเจนที่เริ่มลดลงในช่วงวัยนี้นั่นเองครับ

วิตามิน A ที่ใช้สำหรับทานั้น มีอยู่ด้วยกันหลายชนิดเลยครับ แต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติ ข้อดีและข้อจำกัดต่าง ๆ กันไป

ชนิดแรกก็คือ Retinoic Acid หรือ กรดวิตามิน A ซึ่งจัดเป็นยาครับ ในไทยไม่สามารถใช้ในสกินแคร์ได้ และต้องใช้ภายใต้การควบคุมของแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้นครับ Retinoic Acid มีข้อจำกัดที่สำคัญคือ สามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ค่อนข้างมาก และไม่ค่อยคงตัว

ส่วนชนิดที่ 2-4 คือ

– Retinyl Palmitate

– Retinol

– Retinal 

ซึ่งเป็นวิตามิน A ในรูปแบบที่สามารถใช้ในสกินแคร์ได้ครับ ซึ่งถ้าเราเปรียบเทียบวิตามิน A ที่ใช้ในสกินแคร์ชนิดต่าง ๆ ตามตารางนี้ ก็จะเห็นว่า

Retinyl Palmitate นั้นมีความคงตัวมากที่สุด และระคายเคืองน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับชนิดอื่น ๆ แต่เมื่อพิจารณาเรื่องประสิทธิภาพก็อยู่ในระดับกลาง ๆ ส่วนความสามารถในการซึมผ่านผิวหนัง ยังถือว่าไม่ดีเท่าชนิดอื่นครับ

ส่วน Retinol การซึมผ่านผิวจะดีมาก แต่ข้อเสียก็คือไม่ค่อยคงตัว และก่อให้เกิดการระคายเคือง Retinal ก็คุณสมบัติคล้าย ๆ กับ Retinol ครับ แต่การซึมผ่านผิวนั้นจะแย่กว่า Retinoic Acid

แต่ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน A ในรูปแบบใด เมื่อผิวจะนำไปใช้ จะต้องเปลี่ยนรูปให้เป็นรูปที่เรียกว่า Retinoic Acid ก่อนที่จะนำไปใช้ ซึ่งในผิวจะมีเอนไซม์หลายตัวในกลุ่ม Esterase และ Oxidase ช่วยกันเพื่อเปลี่ยนวิตามินจาก Retinyl Palmitate > Retinol > Retinal > Retinoic Acid ตามลำดับครับ

รู้หรือไม่ครับว่า ร่างกายคนเรานั้นไม่สามารถที่จะสร้างวิตามิน A ขึ้นมาได้ครับ จำเป็นจะต้องได้รับจากภายนอกเท่านั้น ซึ่งทางที่เราจะได้รับวิตามิน A ได้มี 2 ทางนั่นก็คือ

การกิน (Oral) และการทา (Topical) ครับ

ด้วยเหตุนี้เอง ผมถึงได้ตั้งชื่อหัวข้อบทความนี้ว่า วิตามิน A เป็น “A Must” ใน Skincare Routine ครับ ทีนี้เรามาดูกันครับว่า ทางการกิน และ ทางการทา มีข้อจำกัดต่างกันอย่างไร

  1. ทางการกิน (Oral) ในธรรมชาติ วิตามิน A นั้นมักพบอยู่ในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ตับ ไข่ นม ผักใบเขียว ผักและผลไม้ที่มีสีส้ม เช่น แครอท มะละกอ เมื่อเรากินเข้าไป จะถูกดูดซึม และส่งไปทำลายที่ตับเป็นลำดับแรก นี่เป็นข้อจำกัดแรกของทางการกินครับ วิตามิน A บางส่วนที่เหลือที่ไม่ถูกทำลายโดยตับ จะถูกเก็บสะสมไว้ในตับในรูป Retinyl Palmitate ซึ่งเป็นรูปที่ระคายเคืองน้อยและคงตัวสูง ก่อนที่จะถูกส่งไปทั่วร่างกายรวมถึงผิวหนังด้วย ซึ่งผิวหนังของคนเรานั้น ก็จะเก็บวิตามิน A ในรูป Retinyl Palmitate เป็นส่วนใหญ่เช่นกัน เนื่องจากมีความคงตัวสูงและระคายเคืองต่ำ จะเห็นได้ว่า หากเราต้องการวิตามิน A ที่ผิวหนัง การได้รับวิตามิน A ในรูปแบบการกินนั้น บางส่วนจะถูกทำลายที่ตับ ส่วนที่เหลือก็ถูกส่งไปที่อวัยวะอื่นด้วย ดังนั้น ผิวอาจจะไม่ได้รับวิตามิน A เต็มที่
  1. ทางการทา (Topical) มีข้อดีกว่าทางการกินตรงที่ เป็นการให้โดยตรงไปที่ผิวหนัง รวดเร็วกว่าทางการกิน แถมได้รับปริมาณวิตามิน A ที่ผิวหนังแบบเต็มที่เพราะไม่โดนทำลายที่ตับ แต่การให้วิตามิน A โดยการทานั้น มีข้อดีข้อเสียต่างกัน ขึ้นกับชนิดของวิตามิน A ที่ใช้ในสูตร เช่น Retinyl Palmitate เป็นชนิดที่อ่อนโยน ไม่ระคายเคืองผิว แต่การซึมผ่านเข้าสู่ผิวไม่ดี ส่วน Retinol เป็นชนิดที่การซึมผ่านเข้าสู่ผิวดี แต่ดันก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว 

วิตามิน A ในสกินแคร์นั้นมีหลายชนิด เช่น Retinyl Palmitate, Retinol โดยแต่ละชนิดก็จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน บางชนิดที่ไม่ระคายเคืองผิว ก็ซึมไม่ดี บางชนิดซึมดี แต่ก็ระคายเคืองผิว แล้วแบบนี้เราจะเลือกใช้ชนิดไหนดีล่ะครับ ?? คำตอบก็คือ นี่เลยครับผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ล่าสุดจาก AMT Skincare  “AMT Anti-aging & Intensive Moisturizing Night Cream” 
ผมเลือกใช้วิตามิน A รูปแบบ Retinyl Palmitate ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีอยู่ในผิวหนังของเราโดยธรรมชาติอยู่แล้ว มีความปลอดภัยสูง ระคายเคืองต่ำ อีกทั้งยังมีความคงตัวสูง แต่ตัวนี้เดิมทีมีข้อจำกัดในเรื่องการซึมผ่านเข้าสู่ผิวที่ไม่ดีนัก  ดังนั้น ผมจึงเสริมประสิทธิภาพในการซึมผ่านด้วยสิ่งที่ผมถนัดและเชี่ยวชาญ นั่นก็คือ เทคโนโลยีในการนำส่งสาร ผมขอตั้งชื่อว่า AMT Innovative Penetration Enhancement System ซึ่งเป็นระบบนำส่งสารสำคัญเข้าสู่ผิวโดยเฉพาะสำหรับ AMT เป็นการรวบรวมเอาข้อดีของวิตามิน A แต่ละชนิด มาไว้ที่เดียวกันเลยครับ ยังไงผมขอฝากทุกท่าน ติดตามผลิตภัณฑ์ตัวใหม่นี้กันด้วยนะครับ อีกไม่นานเกินรอแน่นอน ส่วน Handbook ครั้งหน้าจะเป็นเรื่องอะไรนั้น ก็อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ

Tag : ริ้วรอย ฝ้ากระ จุดด่างดำ รอยสิว สิว ไม่กระจ่างใส รูขุมขนกว้าง

#AMTSkincare #AMTfamily #AMTHandbook #YourSkinGuardian #Skincare #สกินแคร์

ติดตามและเป็นกำลังใจให้พวกเราได้ที่

https://linktr.ee/AMTSkincare

บทความอื่นๆ