เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

Handbook 27 Antioxidant คืออะไร ?

01/02/2022

แชร์บทความนี้

สวัสดีแฟนเพจทุกท่านครับ สำหรับ Handbook ตอนที่ 27 นี้ ผมอยากจะมาพูดถึง “Antioxidant” หรือ “สารต้านอนุมูลอิสระ” ผมเชื่อว่าหลายท่าน คงเคยได้ยินคำนี้บ่อย ๆ อยู่แล้วตามโฆษณาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โฆษณาเครื่องสำอาง อาหาร หรืออาหารเสริมก็ตาม แต่ทราบกันมั้ยครับว่าจริง ๆ แล้ว Antioxidant คืออะไร แล้วทำไมเราจะต้องมี Antioxidant อยู่ใน Skincare Routine

ปฏิกิริยา Oxidation ในผิว ถ้าพูดง่าย ๆ คือ การที่ผิวถูกโจมตีด้วยสารที่มีชื่อว่า สารอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ครับ
แต่เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ผมขอยกตัวอย่างนะครับ
รู้หรือไม่ว่า ? ผิวของเรากับแอปเปิ้ล มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างนึง
รู้มั้ยครับว่าคืออะไร
. . . . คำตอบก็คือ เมื่อเราปอกแอปเปิ้ลแล้วทิ้งไว้ซักพัก ก็จะเกิดปฏิกิริยาที่เรียกว่า Oxidation
เนื้อของแอปเปิ้ลจะถูกโจมตีทำให้แอปเปิ้ลมีสีคล้ำขึ้นครับ แต่ถ้าเป็นผิวของคนเรานั้น ปฏิกิริยา Oxidation จะไปโจมตีจุดต่างๆ ของผิว เช่น คอลลาเจน, อิลาสติน เป็นต้น ทำให้เกิดปัญหา ฝ้า จุดด่างดำ ริ้วรอย และผิวหย่อนคล้อย นั่นเองครับ
การเกิด Oxidation ของร่างกายเรานั้นเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ครับ เพราะร่างกายเราต้องเกิดการเสื่อมถอยไปตามกาลเวลาอยู่แล้ว เหมือนเครื่องยนต์ที่ใช้ไปนาน ๆ ก็ย่อมเกิดสนิม

ทุก ๆ ท่านสงสัยกันหรือไม่ครับว่า อยู่ดี ๆ ผิวเราสร้างสารอนุมูลอิสระขึ้นมาได้อย่างไร ?

คำตอบก็คือ มีสาเหตุมากมายเลยครับ แต่ที่เป็นสาเหตุหลักก็คือ รังสียูวีในแสงแดด ความเครียด พักผ่อนน้อย สูบบุหรี่ รวมถึงมลภาวะต่าง ๆ ที่มาสัมผัสกับผิว เช่น PM2.5 เป็นต้นครับ

อย่างไรก็ตาม สารอนุมูลอิสระนี้ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไปนะครับ ตัวอย่างเช่น บางทีเวลาเราเป็นสิว ผิวก็จะสร้างสารอนุมูลอิสระขึ้นมา เพื่อไปโจมตีเชื้อสิวนั้น  แต่โดยรวมแล้ว สารอนุมูลอิสระนั้น ก็ยังมีข้อเสียมากกว่าข้อดีอยู่ดีครับ 

เป็นเหตุให้ร่างกายต้องมีระบบป้องกันตัวเองจากการโจมตีของสารอนุมูลอิสระขึ้นมาครับ ผิวสามารถสร้างสารต้านอนุมูลอิสระขึ้นมาได้เองโดยธรรมชาติครับ แต่อย่างไรก็ตามจากการศึกษาเราพบว่า เมื่ออายุเข้าเลข 2 ความสามารถในการป้องกันสารอนุมูลอิสระจะเริ่มลดลง และยิ่งพออายุเข้าเลข 4 ความสามารถนี้จะลดลงอย่างมากเลยทีเดียวครับ

ดังนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเราจึงควรมี สารต้านอนุมูลอิสระ หรือที่เรียกกันว่า “Antioxidant” อยู่ใน Routine ของเรานั่นเองครับ

สาร Antioxidant นั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

1.กลุ่มวิตามิน เช่น วิตามิน C ตัวอย่างง่าย ๆ ที่ทุกท่านน่าจะนึกออกเลยก็คือ เวลาเราปอกแอปเปิ้ล แล้วเอาไปแช่น้ำมะนาว แอปเปิ้ลจะ ไม่ดำง่าย นั่นก็เพราะ วิตามิน C ในน้ำมะนาวทำหน้าที่ป้องกันสารอนุมูลอิสระไม่ให้โจมตีเนื้อแอปเปิ้ลนั่นเองครับ  วิตามิน C นิยมใช้กันมากในสกินแคร์ เพราะนอกจากจะเป็น Antioxidant แล้ว วิตามิน C ยังสามารถช่วยยับยั้งเม็ดสี ทำให้ฝ้าดูจางลงได้ และยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อีกด้วย แต่ก็มีข้อเสียก็คือสลายตัวง่าย ซึ่งถึงแม้จะมีการพัฒนาวิตามินซีในรูปแบบที่สลายตัวยากออกมามากมาย แต่ก็ยังถือว่าสลายตัวง่ายเมื่อเทียบกับ Antioxidant อื่น ๆ  


นอกจากวิตามิน C แล้ว ยังมี วิตามิน E ซึ่งถือเป็น Antioxidant ตัวเลือกแรก ๆ ที่นิยมใช้ในสกินแคร์เพราะว่า มีความคงตัวมากกว่า และมีประสิทธิภาพในเชิงการต้านอนุมูลอิสระที่สูงกว่าวิตามิน C อีกด้วยครับ

2.กลุ่มแร่ธาตุ ในกลุ่มนี้ยกตัวอย่างเช่น ทองแดง (Copper), สังกะสี (Zinc), เป็นต้นครับ กลุ่มนี้ไม่ค่อยมีการใช้ในสกินแคร์เท่าไหร่ครับ ส่วนใหญ่จะพบในอาหารเสริมครับผม และฤทธิ์ในการต้านสารอนุมูลอิสระของกลุ่มนี้จะไม่ใช่ฤทธิ์ของแร่ธาตุโดยตรง แต่แร่ธาตุเหล่านี้จะไปช่วยสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มอื่น เช่น กลุ่มวิตามิน หรือ กลุ่มโปรตีน ให้ทำงานดีขึ้นครับ

3.
กลุ่มโปรตีน ในที่นี้แบ่งเป็น กลุ่มโปรตีนที่เป็นเอนไซม์ ตัวอย่างเช่น CoQ10 หรือบางทีเรียกย่อ ๆ ว่า คิวเท็น และก็ยังมี Glutathione หรือหลาย ๆ ท่านอาจจะคุ้นหูในชื่อ กลูต้า นั่นเองครับ ส่วนอีกกลุ่มคือกรดอะมิโน เช่น Glutamic Acid, Glycine, Serine, Histidine, Arginine, Lysine ซึ่งบางตัวก็มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระโดยตรง บางตัวก็เป็นวัตถุดิบในการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่น เช่น Glutamic Acid เป็นวัตถุดิบในการสร้างกลูต้า เป็นต้นครับ โอยยยยยย ซับซ้อนมากครับ อย่าเพิ่งงงกันนะครับ

4.
กลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มสารที่ได้จากธรรมชาติ เช่น สารกลุ่ม Anthocyanin ซึ่งมักพบในผักผลไม้ที่มีสีม่วงแดง หรือสาร Astaxanthin ซึ่งเป็น Antioxidant สีแดงอมส้มที่พบในสารสกัดจากสาหร่ายสีแดงที่ชื่อ Haematococcus pluvialis และยังพบในไข่ปลาแซลมอนอีกด้วย ซึ่งข้อดีของ Antioxidant ในกลุ่มนี้ก็คือ มีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สูงกว่ากลุ่มอื่น ยกตัวอย่างเช่น Astaxanthin มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามิน C ถึง 6,000 เท่าเลยทีเดียวครับ แต่ข้อเสียของสารสกัดจากธรรมชาติก็มีนะครับ นั่นก็คือ พอเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ปริมาณสารสำคัญที่ได้จากแต่ละครั้งที่สกัดออกมา มักจะไม่เท่ากัน ดังนั้น เราจึงต้องเลือกแหล่งที่มาของวัตถุดิบ วิธีการสกัด รวมถึงวัดค่าความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ในทุก ๆ ครั้งที่สกัด เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้ปริมาณ Antioxidant ตามที่เราต้องการครับ 

อีกคำถามนึงที่ผมมักจะถูกถามบ่อย ๆ เกี่ยวกับ Antioxidant ก็คือ เราควรใช้ Antioxidant ใน Skincare Routine ตอนไหนดีที่สุด ? คำตอบคือ เราควรที่จะใช้ Antioxidant ทั้งในตอนเช้าและตอนเย็นเลยครับ เนื่องจากในตอนเช้า ผิวของเราโดนทำร้ายจากแสงแดด ถึงแม้ว่าเราจะทาครีมกันแดด แต่ก็ไม่สามารถที่จะกันแดดได้ 100% ยังมีรังสี UV บางส่วนที่โดนผิวหนังของเราโดยตรงอยู่ดี ผิวจะสร้าง สารอนุมูลอิสระขึ้นมาดังนั้น เวลาเลือกครีมกันแดด ก็ควรเลือกแบบที่มี Antioxidant ด้วยนะครับ
ส่วนในตอนกลางคืน จะเป็นช่วงที่ผิวเกิดการ Recovery ตัวเอง นอกจากเราควรพักผ่อนให้เพียงพอแล้ว เรายังควรให้ Antioxidant แก่ผิวในช่วงเวลานี้ด้วยครับ เพื่อให้ไปกำจัดสารอนุมูลอิสระที่ได้รับมาระหว่างวัน และยังเป็นการเตรียม Antioxidant สะสมไว้สำหรับวันใหม่อีกด้วยครับ
มาดูกันครับว่า AMT Skincare ใส่ Antioxidant อะไรมาบ้าง

ก่อนอื่นเลย ผมใช้วิตามิน E หรือ Tocopherol Antioxidant ในทุกผลิตภัณฑ์ของ AMT เลยครับ เพราะเป็นพื้นฐานของสารต้านอนุมูลอิสระที่ถึงแม้จะดูธรรมดา ๆ แต่เป็น The Must สำหรับการต้านอนุมูลอิสระ เลยครับ โดยผมใช้ Tocopherol ในรูปแบบที่เรียกว่า Alfa-Tocopherol ซึ่งเป็นรูปฟอร์มของวิตามิน E ที่ Active ที่สุดในบรรดาวิตามิน E ทั้ง 8 รูปฟอร์มเลยครับ


ส่วน AMT Deep Essence Mist ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่วิตามิน E (ซึ่งเป็นน้ำมัน) ละลายเข้าไปได้น้อย ผมได้เติมกรดอะมิโนที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระเข้าไปหลายตัวด้วยกันครับ เช่น Glutamic Acid ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการสร้าง กลูต้า นอกจากนี้ยังมี L-Serine,
L-Alanine L-Arginine L-Lysine  ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant เพิ่มเข้าไปด้วยครับ

รูปสุดท้ายนี้ ผมขออนุญาตแนะนำผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ล่าสุดจาก AMT Skincare “AMT Anti-aging & Intensive Moisturizing Night Cream” ชื่อบอกว่า Anti-aging นั่นหมายถึงว่า ต้องมีส่วนประกอบของ Antioxidant ที่มีประสิทธิภาพสูงอยู่อย่างแน่นอนครับ  และตัวที่ผมเลือกมาก็คือ  Astaxanthin นั่นเองครับ โดยผมเลือกแหล่งวัตถุดิบที่มีการควบคุมปริมาณของ Astaxanthin ให้มีปริมาณคงที่ในแต่ละครั้งที่สกัด ทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีประสิทธิภาพที่สม่ำเสมอ นอกจากนี้ ยังมีปริมาณสารปนเปื้อนต่ำ ไม่ว่าจะเป็น โลหะหนัก และสารอันตรายต่าง ๆ ช่วยให้ทุก ๆ ครั้งที่คุณนอนหลับ ผิวที่ถูกทำร้ายระหว่างวันนั้น ได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ และยังเป็นการเตรียมผิวให้พร้อมกับสารอนุมูลอิสระต่าง ๆ ที่จะเข้ามาโจมตีเราในวันรุ่งขึ้นอีกด้วยครับ  ผลิตภัณฑ์ตัวนี้กำลังจะออกวางจำหน่ายปลายเดือนพ.ค.นี้แล้ว ไม่ใช่มีแค่ Astaxanthin อย่างเดียวนะครับ ยังมีกลุ่มวิตามินเอ Plant Butter รวมถึงระบบนำส่งที่พิเศษไม่เหมือนใครอีกด้วยครับ ยังไงผมขอฝากทุกท่านติดตามบทความต่อ ๆ ไปด้วยนะครับว่าจะเป็นเรื่องอะไร ขอบคุณมาก ๆ  เลยครับที่อ่านจนจบ

Tag : ริ้วรอย ฝ้ากระ จุดด่างดำ รอยสิว

#AMTSkincare #AMTfamily #AMTHandbook #YourSkinGuardian #Skincare #สกินแคร์

ติดตามและเป็นกำลังใจให้พวกเราได้ที่

https://linktr.ee/AMTSkincare

สวัสดีแฟนเพจทุกท่านครับ สำหรับ Handbook ตอนที่ 27 นี้ ผมอยากจะมาพูดถึง “Antioxidant” หรือ “สารต้านอนุมูลอิสระ” ผมเชื่อว่าหลายท่าน คงเคยได้ยินคำนี้บ่อย ๆ อยู่แล้วตามโฆษณาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โฆษณาเครื่องสำอาง อาหาร หรืออาหารเสริมก็ตาม แต่ทราบกันมั้ยครับว่าจริง ๆ แล้ว Antioxidant คืออะไร แล้วทำไมเราจะต้องมี Antioxidant อยู่ใน Skincare Routine

ปฏิกิริยา Oxidation ในผิว ถ้าพูดง่าย ๆ คือ การที่ผิวถูกโจมตีด้วยสารที่มีชื่อว่า สารอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ครับ
แต่เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ผมขอยกตัวอย่างนะครับ
รู้หรือไม่ว่า ? ผิวของเรากับแอปเปิ้ล มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างนึง
รู้มั้ยครับว่าคืออะไร
. . . . คำตอบก็คือ เมื่อเราปอกแอปเปิ้ลแล้วทิ้งไว้ซักพัก ก็จะเกิดปฏิกิริยาที่เรียกว่า Oxidation
เนื้อของแอปเปิ้ลจะถูกโจมตีทำให้แอปเปิ้ลมีสีคล้ำขึ้นครับ แต่ถ้าเป็นผิวของคนเรานั้น ปฏิกิริยา Oxidation จะไปโจมตีจุดต่างๆ ของผิว เช่น คอลลาเจน, อิลาสติน เป็นต้น ทำให้เกิดปัญหา ฝ้า จุดด่างดำ ริ้วรอย และผิวหย่อนคล้อย นั่นเองครับ
การเกิด Oxidation ของร่างกายเรานั้นเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ครับ เพราะร่างกายเราต้องเกิดการเสื่อมถอยไปตามกาลเวลาอยู่แล้ว เหมือนเครื่องยนต์ที่ใช้ไปนาน ๆ ก็ย่อมเกิดสนิม

ทุก ๆ ท่านสงสัยกันหรือไม่ครับว่า อยู่ดี ๆ ผิวเราสร้างสารอนุมูลอิสระขึ้นมาได้อย่างไร ?

คำตอบก็คือ มีสาเหตุมากมายเลยครับ แต่ที่เป็นสาเหตุหลักก็คือ รังสียูวีในแสงแดด ความเครียด พักผ่อนน้อย สูบบุหรี่ รวมถึงมลภาวะต่าง ๆ ที่มาสัมผัสกับผิว เช่น PM2.5 เป็นต้นครับ

อย่างไรก็ตาม สารอนุมูลอิสระนี้ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไปนะครับ ตัวอย่างเช่น บางทีเวลาเราเป็นสิว ผิวก็จะสร้างสารอนุมูลอิสระขึ้นมา เพื่อไปโจมตีเชื้อสิวนั้น  แต่โดยรวมแล้ว สารอนุมูลอิสระนั้น ก็ยังมีข้อเสียมากกว่าข้อดีอยู่ดีครับ 

เป็นเหตุให้ร่างกายต้องมีระบบป้องกันตัวเองจากการโจมตีของสารอนุมูลอิสระขึ้นมาครับ ผิวสามารถสร้างสารต้านอนุมูลอิสระขึ้นมาได้เองโดยธรรมชาติครับ แต่อย่าวงไรก็ตามจากการศึกษาเราพบว่า เมื่ออายุเข้าเลข 2 ความสามารถในการป้องกันสารอนุมูลอิสระจะเริ่มลดลง และยิ่งพออายุเข้าเลข 4 ความสามารถนี้จะลดลงอย่างมากเลยทีเดียวครับ

ดังนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเราจึงควรมี สารต้านอนุมูลอิสระ หรือที่เรียกกันว่า “Antioxidant” อยู่ใน Routine ของเรานั่นเองครับ

สาร Antioxidant นั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

1.กลุ่มวิตามิน เช่น วิตามิน C ตัวอย่างง่าย ๆ ที่ทุกท่านน่าจะนึกออกเลยก็คือ เวลาเราปอกแอปเปิ้ล แล้วเอาไปแช่น้ำมะนาว แอปเปิ้ลจะ ไม่ดำง่าย นั่นก็เพราะ วิตามิน C ในน้ำมะนาวทำหน้าที่ป้องกันสารอนุมูลอิสระไม่ให้โจมตีเนื้อแอปเปิ้ลนั่นเองครับ  วิตามิน C นิยมใช้กันมากในสกินแคร์ เพราะนอกจากจะเป็น Antioxidant แล้ว วิตามิน C ยังสามารถช่วยยับยั้งเม็ดสี ทำให้ฝ้าดูจางลงได้ และยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อีกด้วย แต่ก็มีข้อเสียก็คือสลายตัวง่าย ซึ่งถึงแม้จะมีการพัฒนาวิตามินซีในรูปแบบที่สลายตัวยากออกมามากมาย แต่ก็ยังถือว่าสลายตัวง่ายเมื่อเทียบกับ Antioxidant อื่น ๆ  


นอกจากวิตามิน C แล้ว ยังมี วิตามิน E ซึ่งถือเป็น Antioxidant ตัวเลือกแรก ๆ ที่นิยมใช้ในสกินแคร์เพราะว่า มีความคงตัวมากกว่า และมีประสิทธิภาพในเชิงการต้านอนุมูลอิสระที่สูงกว่าวิตามิน C อีกด้วยครับ

2.กลุ่มแร่ธาตุ ในกลุ่มนี้ยกตัวอย่างเช่น ทองแดง (Copper), สังกะสี (Zinc), เป็นต้นครับ กลุ่มนี้ไม่ค่อยมีการใช้ในสกินแคร์เท่าไหร่ครับ ส่วนใหญ่จะพบในอาหารเสริมครับผม และฤทธิ์ในการต้านสารอนุมูลอิสระของกลุ่มนี้จะไม่ใช่ฤทธิ์ของแร่ธาตุโดยตรง แต่แร่ธาตุเหล่านี้จะไปช่วยสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มอื่น เช่น กลุ่มวิตามิน หรือ กลุ่มโปรตีน ให้ทำงานดีขึ้นครับ

3.
กลุ่มโปรตีน ในที่นี้แบ่งเป็น กลุ่มโปรตีนที่เป็นเอนไซม์ ตัวอย่างเช่น CoQ10 หรือบางทีเรียกย่อ ๆ ว่า คิวเท็น และก็ยังมี Glutathione หรือหลาย ๆ ท่านอาจจะคุ้นหูในชื่อ กลูต้า นั่นเองครับ ส่วนอีกกลุ่มคือกรดอะมิโน เช่น Glutamic Acid, Glycine, Serine, Histidine, Arginine, Lysine ซึ่งบางตัวก็มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระโดยตรง บางตัวก็เป็นวัตถุดิบในการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่น เช่น Glutamic Acid เป็นวัตถุดิบในการสร้างกลูต้า เป็นต้นครับ โอยยยยยย ซับซ้อนมากครับ อย่าเพิ่งงงกันนะครับ

4.
กลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มสารที่ได้จากธรรมชาติ เช่น สารกลุ่ม Anthocyanin ซึ่งมักพบในผักผลไม้ที่มีสีม่วงแดง หรือสาร Astaxanthin ซึ่งเป็น Antioxidant สีแดงอมส้มที่พบในสารสกัดจากสาหร่ายสีแดงที่ชื่อ Haematococcus pluvialis และยังพบในไข่ปลาแซลมอนอีกด้วย ซึ่งข้อดีของ Antioxidant ในกลุ่มนี้ก็คือ มีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สูงกว่ากลุ่มอื่น ยกตัวอย่างเช่น Astaxanthin มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามิน C ถึง 6,000 เท่าเลยทีเดียวครับ แต่ข้อเสียของสารสกัดจากธรรมชาติก็มีนะครับ นั่นก็คือ พอเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ปริมาณสารสำคัญที่ได้จากแต่ละครั้งที่สกัดออกมา มักจะไม่เท่ากัน ดังนั้น เราจึงต้องเลือกแหล่งที่มาของวัตถุดิบ วิธีการสกัด รวมถึงวัดค่าความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ในทุก ๆ ครั้งที่สกัด เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้ปริมาณ Antioxidant ตามที่เราต้องการครับ 

อีกคำถามนึงที่ผมมักจะถูกถามบ่อย ๆ เกี่ยวกับ Antioxidant ก็คือ เราควรใช้ Antioxidant ใน Skincare Routine ตอนไหนดีที่สุด ? คำตอบคือ เราควรที่จะใช้ Antioxidant ทั้งในตอนเช้าและตอนเย็นเลยครับ เนื่องจากในตอนเช้า ผิวของเราโดนทำร้ายจากแสงแดด ถึงแม้ว่าเราจะทาครีมกันแดด แต่ก็ไม่สามารถที่จะกันแดดได้ 100% ยังมีรังสี UV บางส่วนที่โดนผิวหนังของเราโดยตรงอยู่ดี ผิวจะสร้าง สารอนุมูลอิสระขึ้นมาดังนั้น เวลาเลือกครีมกันแดด ก็ควรเลือกแบบที่มี Antioxidant ด้วยนะครับ
ส่วนในตอนกลางคืน จะเป็นช่วงที่ผิวเกิดการ Recovery ตัวเอง นอกจากเราควรพักผ่อนให้เพียงพอแล้ว เรายังควรให้ Antioxidant แก่ผิวในช่วงเวลานี้ด้วยครับ เพื่อให้ไปกำจัดสารอนุมูลอิสระที่ได้รับมาระหว่างวัน และยังเป็นการเตรียม Antioxidant สะสมไว้สำหรับวันใหม่อีกด้วยครับ
มาดูกันครับว่า AMT Skincare ใส่ Antioxidant อะไรมาบ้าง

ก่อนอื่นเลย ผมใช้วิตามิน E หรือ Tocopherol Antioxidant ในทุกผลิตภัณฑ์ของ AMT เลยครับ เพราะเป็นพื้นฐานของสารต้านอนุมูลอิสระที่ถึงแม้จะดูธรรมดา ๆ แต่เป็น The Must สำหรับการต้านอนุมูลอิสระ เลยครับ โดยผมใช้ Tocopherol ในรูปแบบที่เรียกว่า Alfa-Tocopherol ซึ่งเป็นรูปฟอร์มของวิตามิน E ที่ Active ที่สุดในบรรดาวิตามิน E ทั้ง 8 รูปฟอร์มเลยครับ


ส่วน AMT Deep Essence Mist ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่วิตามิน E (ซึ่งเป็นน้ำมัน) ละลายเข้าไปได้น้อย ผมได้เติมกรดอะมิโนที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระเข้าไปหลายตัวด้วยกันครับ เช่น Glutamic Acid ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการสร้าง กลูต้า นอกจากนี้ยังมี L-Serine,
L-Alanine L-Arginine L-Lysine  ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant เพิ่มเข้าไปด้วยครับ

รูปสุดท้ายนี้ ผมขออนุญาตแนะนำผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ล่าสุดจาก AMT Skincare “AMT Anti-aging & Intensive Moisturizing Night Cream” ชื่อบอกว่า Anti-aging นั่นหมายถึงว่า ต้องมีส่วนประกอบของ Antioxidant ที่มีประสิทธิภาพสูงอยู่อย่างแน่นอนครับ  และตัวที่ผมเลือกมาก็คือ  Astaxanthin นั่นเองครับ โดยผมเลือกแหล่งวัตถุดิบที่มีการควบคุมปริมาณของ Astaxanthin ให้มีปริมาณคงที่ในแต่ละครั้งที่สกัด ทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีประสิทธิภาพที่สม่ำเสมอ นอกจากนี้ ยังมีปริมาณสารปนเปื้อนต่ำ ไม่ว่าจะเป็น โลหะหนัก และสารอันตรายต่าง ๆ ช่วยให้ทุก ๆ ครั้งที่คุณนอนหลับ ผิวที่ถูกทำร้ายระหว่างวันนั้น ได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ และยังเป็นการเตรียมผิวให้พร้อมกับสารอนุมูลอิสระต่าง ๆ ที่จะเข้ามาโจมตีเราในวันรุ่งขึ้นอีกด้วยครับ  ผลิตภัณฑ์ตัวนี้กำลังจะออกวางจำหน่ายปลายเดือนพ.ค.นี้แล้ว ไม่ใช่มีแค่ Astaxanthin อย่างเดียวนะครับ ยังมีกลุ่มวิตามินเอ Plant Butter รวมถึงระบบนำส่งที่พิเศษไม่เหมือนใครอีกด้วยครับ ยังไงผมขอฝากทุกท่านติดตามบทความต่อ ๆ ไปด้วยนะครับว่าจะเป็นเรื่องอะไร ขอบคุณมาก ๆ  เลยครับที่อ่านจนจบ

Tag : ริ้วรอย ฝ้ากระ จุดด่างดำ รอยสิว

#AMTSkincare #AMTfamily #AMTHandbook #YourSkinGuardian #Skincare #สกินแคร์

ติดตามและเป็นกำลังใจให้พวกเราได้ที่

https://linktr.ee/AMTSkincare

บทความอื่นๆ