
เอาเสียเลย แต่ที่จริงแล้ว “ขน” และ “รูขุมขน” ของเรานั้นมีประโยชน์มากมายหลายอย่างเลยนะครับ เดี๋ยวผมจะมาเล่าให้ฟัง

จำนวนรูขุมขนของคนเรานั้น ขึ้นอยู่กับเพศ เชื้อชาติ พันธุกรรม แต่รู้หรือไม่ครับว่า จำนวนรูขุมขนโดยเฉลี่ยของคนเอเชียนั้น
แค่เฉพาะบนหนังศีรษะมีกี่รู ? ลองคิดคำตอบไว้ในใจกันก่อนที่จะดูเฉลยนะครับ….
คำตอบก็คือ มีประมาณ 100,000 รู
เฉพาะบนหนังศีรษะ และอีกประมาณ 200,000 รู บนใบหน้า ซึ่งจะเห็นได้ว่า จำนวนรูขุมขนที่อยู่บนใบหน้านั้น มีมากกว่าที่อยู่บนหนังศีรษะเป็นเท่าตัวเลยครับ จึงไม่แปลกใจเลยครับว่าทำไมปัญหาเรื่องรูขุมขนจึงเป็นปัญหาแรก ๆ ของคนส่วนใหญ่เลย
อีกความจริงหนึ่งที่เกี่ยวกับรูขุมขนที่น่าสนใจ ก็คือ จำนวนรูขุมขนของเราทุกคน ไม่ได้เพิ่มหรือลดลงตามอายุนะครับ ขณะที่เรา
ยังเป็นตัวอ่อนในท้องของคุณแม่ รูขุมขนทั่วร่างกายจะค่อย ๆ เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุครรภ์ และเพิ่มสูงสุดเมื่ออายุครรภ์ราว ๆ 6 เดือน และหลังจากนั้นจะมีจำนวนเท่าเดิมตลอดไปไม่ว่าจะมีอายุเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ก็ตามครับ

ชนิดที่ 1 ชื่อว่า Vellus Follicle เป็นรูขุมขนชนิดที่จะมีขนอ่อน (Vellus Hair) เส้นเล็ก ๆ ที่แทบจะมองไม่เห็น มีความยาวไม่เกิน 0.5 มิลลิเมตร นอกจากนี้ต่อมไขมันที่ติดอยู่กับรูขุมขนนี้จะมีขนาดเล็ก รูขุมขนชนิดนี้จะพบได้ทั่วใบหน้า แต่จะพบมากที่บริเวณ
U-zone
ชนิดที่ 2 ชื่อว่า Sebaceous Follicle เป็นรูขุมขนที่มีขนอ่อนเส้นเล็ก ๆ เหมือนกัน สามารถพบได้ทั่วทั้งใบหน้าเช่นกัน แต่จะพบมากที่บริเวณ T-zone และนอกจากนี้ต่อมไขมันที่อยู่ติดกับรูขุมขนนี้จะมีขนาดใหญ่ จนบางทีอาจจะมีไขมันไปอุดอยู่ จนทำให้
ขนอ่อนไม่สามารถขึ้นมาได้ ด้วยเหตุนี้ รูขุมขนชนิดนี้ จึงเป็นรูขุมขนที่มักก่อให้เกิดปัญหาสิว นั่นเองครับ
ส่วนรูขุมขนชนิดที่ 3 ชื่อว่า Terminal Hair Follicle เป็นรูขุมขนที่มีขนเส้นใหญ่ ๆ ที่มองเห็นได้ชัดเจน พบได้ในบริเวณหนังศีรษะ หนวด และเครา ต่อมไขมันที่ติดอยู่กับรูขุมขนชนิดนี้ก็จะมีขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน แต่มักจะไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาสิวเหมือนกับ Sebaceous Follicle เนื่องจากเส้นขนที่มีขนาดใหญ่นี้ก็จะเจริญเร็ว ทำให้สามารถดันไขมันออกไปได้ จึงไม่ค่อยพบปัญหาอุดตันและสิว

ทีนี้ เรามาดูกันครับว่าขนอ่อนที่พบบริเวณรูขุมขนชนิดที่ 1 และ 2 (Vellus Follicle และ Sebaceous Follicle) บนใบหน้าของเรานั้นมีหน้าที่อะไรบ้าง ?
หน้าที่ของขนอ่อน มี 3 ประการด้วยกันครับ
- ขนอ่อนช่วยระบายความร้อนให้ดีขึ้น เนื่องจากเหงื่อที่หลั่งออกมาจากต่อมเหงื่อที่ติดอยู่กับขนนั้น ส่วนหนึ่งจะมาเกาะอยู่บนเส้นขนนี้ ทำให้มีพื้นที่ผิวในการระเหยเพิ่มมากขึ้น เหงื่อก็จะระเหยออกไปได้เร็วขึ้น อุณหภูมิผิวก็ลดลงเร็วขึ้นนั่นเองครับ
- ขนอ่อนช่วยเพิ่มความอบอุ่นได้ โดยการสร้างชั้นอากาศนิ่ง ๆ ปกคลุมไว้ที่เหนือผิว เวลามีอากาศเย็น ๆ พัดผ่านมา ทำให้ไม่รู้สึกเย็นมากนัก ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่สัตว์ที่อยู่ที่หนาว ๆ อย่างหมีขั้วโลก มีขนปกคลุมตัวนั่นแหละครับ
- หน้าที่อย่างสุดท้าย แต่เป็นหน้าที่ที่สำคัญมาก ๆ เลย ก็คือ ขนอ่อนช่วยลดการเสียดสีจากการจับ ขัด ถู รวมถึงการเสียดสีจากการสวมใส่หน้ากากอนามัยซึ่งเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้เลยในตอนนี้ครับ ขนอ่อนนี้จะช่วยลดการเสียดสี ทำให้การสัมผัสไม่โดนผิวโดยตรงนั่นเองครับ

พอเราทราบถึงหน้าที่และประโยชน์ของขนอ่อนกันไปแล้ว ทีนี้ถ้าเราโกนขนอ่อนบริเวณใบหน้า (Dermaplaning) ออกไป จะมีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง ? ลองอ่านและคิดตามไปด้วยกันนะครับ
ถึงแม้ว่าขนอ่อนนั้นจะมีประโยชน์มากมายหลายอย่างตามที่ผมได้บอกไปข้างต้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ครับว่า การโกนขนอ่อนนั้นก็ยังมีข้อดีในแง่ของความสวยงามอยู่ โดยการที่โกนขนอ่อนออกไปนั้น จะทำให้การลงรองพื้นทำได้เนียนขึ้น เหมือนกับเวลาที่เราระบายสีลงบนกระดาษที่เรียบๆ ก็ย่อมลงได้สีที่เนียนกว่ากระดาษที่มีใย ๆ ยื่นออกมา จริงไหมครับ ข้อดีอีกอย่างนึงของการโกนขนอ่อนก็คือ ถึงแม้ขนอ่อนจะแทบมองไม่เห็นก็ตาม แต่ถ้ามองดี ๆ ก็มองเห็น การโกนขนอ่อนจะทำให้ใบหน้าแลดูสว่างขึ้นได้ครับ
แต่ ๆ ๆ ข้อเสียจากการโกนขนอ่อน ก็มีมากตามมาเช่นกันครับ ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพในการควบคุมอุณหภูมิ การระบายเหงื่อ นอกจากนี้ ทุก ๆ ครั้งขณะที่เราโกนขนออก การที่ใบมีดถูไปกับผิว ย่อมเพิ่มโอกาสการระคายเคืองผิว และถ้าหากโกนไม่ดี โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นซอกเล็ก ๆ ที่ยากต่อการโกน เช่น ร่องจมูก รอบริมฝีปาก ร่องแก้ม อาจเกิดแผลเล็ก ๆ ขึ้นได้

สรุปก็คือ การโกนขนอ่อนบริเวณใบหน้านั้น มีประโยชน์ในแง่ของ Make-up มากกว่า Skincare ครับ คำพูด หรือความเชื่อที่กล่าวว่า “โกนขนอ่อนช่วยทำให้เป็นสิวยากขึ้น” หากเราพิจารณาดูด้วยเหตุและผล โอกาสที่คำพูดนี้จะเป็นจริงนั้นมีต่ำมากครับ เพราะถึงเราจะโกนขนออกไปแล้ว ก็ยังเหลือเป็นตอขนอยู่ดี โอกาสในการอุดตันของรูขุมขนไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้นถ้าหากเราจะหวังผลในแง่ของ Make-up โกนขนแล้วช่วยทำให้ลงรองพื้นได้เนียนขึ้น ประกอบกับเราเป็นคนผิวแข็งแรง ไม่ได้เป็นสิวเยอะ หรือผิวไม่ได้ระคายเคืองอยู่ ผมแนะนำว่าสามารถโกนได้ครับ แต่ถ้าหากจะหวังผลในแง่ของ Skincare หรือหวังผลทำให้ลดการเกิดสิว หรือเกิดสิวได้ยากขึ้น อันนี้ไม่สามารถช่วยได้ครับ
การดูแลผิวเพื่อให้สิวเกิดได้ยากขึ้นนั้น โดยหลักแล้วมีอยู่ 3 ข้อคือ
- ล้างหน้าให้ถูกวิธี สามารถตามไปอ่านรายละเอียดได้ใน Handbook ตอนที่ 20 ‘ล้างหน้าอย่างไร ดีต่อผิว’ หรือคลิกที่ลิ้งนี้ http://bit.ly/2WKisQW ได้เลยครับ
- ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวให้เพียงพอ ทั้งน้ำและน้ำมัน อ่านรายละเอียดต่อได้ในบทความเรื่อง ‘Moisture ได้ยินบ่อย ๆ เข้าใจความหมายจริง ๆ หรือยัง ?’ หรือคลิก https://bit.ly/3h3tv1f ได้เลยครับ
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การพักผ่อน อาหารบางชนิด ความเครียด ฯลฯ

สุดท้ายผมขอแนะนำ Skincare routine ทั้ง 4 ขั้นตอน ตามแบบฉบับของ AMT ดังนี้ครับ
- AMT Brightening & Moisturizing Liposome Serum
ฟื้นฟูเกราะผิวให้แข็งแรง ช่วยบูสท์ให้สกินแคร์ในลำดับถัดไปซึมผ่านได้ดีขึ้น ช่วยทำให้ฝ้า กระ จุดด่างดำจางลง ด้วย Niacinamide ในรูปแบบไลโปโซม
- AMT Rejuvenating & Brightening LIGHT/RICH Emulsion
มีสัดส่วน Inner Oil : Surface Oil ที่พอเหมาะ ทำให้ผิวนุ่ม เด้ง เฟิร์ม สว่างกระจ่างใส ดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
- AMT All Day Nourishing Deep Essence Mist
สเปรย์ละออง Essence แบบ Ultra-fine ครอบคลุมทั่วใบหน้า ให้สารอาหารจำพวกกรดอะมิโน น้ำตาล เปปไทด์ ซึมซาบลึกเข้าบำรุงผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้นราวกับลูกโป่งน้ำ
- AMT Anti-aging & Intensive Moisturizing Night Cream (กำลังจะวางจำหน่ายเร็ว ๆ นี้ครับ)
เน้นการปิดฝาผิว พร้อมล็อคการบำรุงผิวจากขั้นตอนต้น ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และลดเลือนริ้วรอย
Tag : Beauty tips สิว ผิวระคายเคืองง่าย ไม่กระจ่างใส
#AMTSkincare #AMTfamily #AMTHandbook #YourSkinGuardian #Skincare #สกินแคร์
ติดตามและเป็นกำลังใจให้พวกเราได้ที่

เอาเสียเลย แต่ที่จริงแล้ว “ขน” และ “รูขุมขน” ของเรานั้นมีประโยชน์มากมายหลายอย่างเลยนะครับ เดี๋ยวผมจะมาเล่าให้ฟัง

แค่เฉพาะบนหนังศีรษะมีกี่รู ? ลองคิดคำตอบไว้ในใจกันก่อนที่จะดูเฉลยนะครับ…. คำตอบก็คือ มีประมาณ 100,000 รู
เฉพาะบนหนังศีรษะ และอีกประมาณ 200,000 รู บนใบหน้า ซึ่งจะเห็นได้ว่า จำนวนรูขุมขนที่อยู่บนใบหน้านั้น มีมากกว่าที่อยู่บนหนังศีรษะเป็นเท่าตัวเลยครับ จึงไม่แปลกใจเลยครับว่าทำไมปัญหาเรื่องรูขุมขนจึงเป็นปัญหาแรก ๆ ของคนส่วนใหญ่เลย
อีกความจริงหนึ่งที่เกี่ยวกับรูขุมขนที่น่าสนใจ ก็คือ จำนวนรูขุมขนของเราทุกคน ไม่ได้เพิ่มหรือลดลงตามอายุนะครับ ขณะที่เรา
ยังเป็นตัวอ่อนในท้องของคุณแม่ รูขุมขนทั่วร่างกายจะค่อยๆเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุครรภ์ และเพิ่มสูงสุดเมื่ออายุครรภ์ราว ๆ 6 เดือน และหลังจากนั้นจะมีจำนวนเท่าเดิมตลอดไปไม่ว่าจะมีอายุเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ก็ตามครับ

ชนิดที่ 1 ชื่อว่า Vellus Follicle เป็นรูขุมขนชนิดที่จะมีขนอ่อน (Vellus Hair) เส้นเล็ก ๆ ที่แทบจะมองไม่เห็น มีความยาวไม่เกิน 0.5 มิลลิเมตร นอกจากนี้ต่อมไขมันที่ติดอยู่กับรูขุมขนนี้จะมีขนาดเล็ก รูขุมขนชนิดนี้จะพบได้ทั่วใบหน้า แต่จะพบมากที่บริเวณ
U-zone
ชนิดที่ 2 ชื่อว่า Sebaceous Follicle เป็นรูขุมขนที่มีขนอ่อนเส้นเล็ก ๆ เหมือนกัน สามารถพบได้ทั่วทั้งใบหน้าเช่นกัน แต่จะพบมากที่บริเวณ T-zone และนอกจากนี้ต่อมไขมันที่อยู่ติดกับรูขุมขนนี้จะมีขนาดใหญ่ จนบางทีอาจจะมีไขมันไปอุดอยู่ จนทำให้
ขนอ่อนไม่สามารถขึ้นมาได้ ด้วยเหตุนี้ รูขุมขนชนิดนี้ จึงเป็นรูขุมขนที่มักก่อให้เกิดปัญหาสิว นั่นเองครับ
ส่วนรูขุมขนชนิดที่ 3 ชื่อว่า Terminal Hair Follicle เป็นรูขุมขนที่มีขนเส้นใหญ่ ๆ ที่มองเห็นได้ชัดเจน พบได้ในบริเวณหนังศีรษะ หนวด และเครา ต่อมไขมันที่ติดอยู่กับรูขุมขนชนิดนี้ก็จะมีขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน แต่มักจะไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาสิวเหมือนกับ Sebaceous Follicle เนื่องจากเส้นขนที่มีขนาดใหญ่นี้ก็จะเจริญเร็ว ทำให้สามารถดันไขมันออกไปได้ จึงไม่ค่อยพบปัญหาอุดตันและสิว

ทีนี้ เรามาดูกันครับว่าขนอ่อนที่พบบริเวณรูขุมขนชนิดที่ 1 และ 2 (Vellus Follicle และ Sebaceous Follicle) บนใบหน้าของเรานั้นมีหน้าที่อะไรบ้าง ?
หน้าที่ของขนอ่อน มี 3 ประการด้วยกันครับ
- ขนอ่อนช่วยระบายความร้อนให้ดีขึ้น เนื่องจากเหงื่อที่หลั่งออกมาจากต่อมเหงื่อที่ติดอยู่กับขนนั้น ส่วนหนึ่งจะมาเกาะอยู่บนเส้นขนนี้ ทำให้มีพื้นที่ผิวในการระเหยเพิ่มมากขึ้น เหงื่อก็จะระเหยออกไปได้เร็วขึ้น อุณหภูมิผิวก็ลดลงเร็วขึ้นนั่นเองครับ
- ขนอ่อนช่วยเพิ่มความอบอุ่นได้ โดยการสร้างชั้นอากาศนิ่ง ๆ ปกคลุมไว้ที่เหนือผิว เวลามีอากาศเย็น ๆ พัดผ่านมา ทำให้ไม่รู้สึกเย็นมากนัก ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่สัตว์ที่อยู่ที่หนาว ๆ อย่างหมีขั้วโลก มีขนปกคลุมตัวนั่นแหละครับ
- หน้าที่อย่างสุดท้าย แต่เป็นหน้าที่ที่สำคัญมาก ๆ เลย ก็คือ ขนอ่อนช่วยลดการเสียดสีจากการจับ ขัด ถู รวมถึงการเสียดสีจากการสวมใส่หน้ากากอนามัยซึ่งเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้เลยในตอนนี้ครับ ขนอ่อนนี้จะช่วยลดการเสียดสี ทำให้การสัมผัสไม่โดนผิวโดยตรงนั่นเองครับ

พอเราทราบถึงหน้าที่และประโยชน์ของขนอ่อนกันไปแล้ว ทีนี้ถ้าเราโกนขนอ่อนบริเวณใบหน้า (Dermaplaning) ออกไป จะมีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง ? ลองอ่านและคิดตามไปด้วยกันนะครับ
ถึงแม้ว่าขนอ่อนนั้นจะมีประโยชน์มากมายหลายอย่างตามที่ผมได้บอกไปข้างต้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ครับว่า การโกนขนอ่อนนั้นก็ยังมีข้อดีในแง่ของความสวยงามอยู่ โดยการที่โกนขนอ่อนออกไปนั้น จะทำให้การลงรองพื้นทำได้เนียนขึ้น เหมือนกับเวลาที่เราระบายสีลงบนกระดาษที่เรียบๆ ก็ย่อมลงได้สีที่เนียนกว่ากระดาษที่มีใย ๆ ยื่นออกมา จริงไหมครับ ข้อดีอีกอย่างนึงของการโกนขนอ่อนก็คือ ถึงแม้ขนอ่อนจะแทบมองไม่เห็นก็ตาม แต่ถ้ามองดี ๆ ก็มองเห็น การโกนขนอ่อนจะทำให้ใบหน้าแลดูสว่างขึ้นได้ครับ
แต่ ๆ ๆ ข้อเสียจากการโกนขนอ่อน ก็มีมากตามมาเช่นกันครับ ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพในการควบคุมอุณหภูมิ การระบายเหงื่อ นอกจากนี้ ทุก ๆ ครั้งขณะที่เราโกนขนออก การที่ใบมีดถูไปกับผิว ย่อมเพิ่มโอกาสการระคายเคืองผิว และถ้าหากโกนไม่ดี โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นซอกเล็ก ๆ ที่ยากต่อการโกน เช่นร่องจมูก รอบริมฝีปาก ร่องแก้ม อาจเกิดแผลเล็ก ๆ ขึ้นได้

สรุปก็คือ การโกนขนอ่อนบริเวณใบหน้านั้น มีประโยชน์ในแง่ของ Make-up มากกว่า Skincare ครับ คำพูด หรือความเชื่อที่กล่าวว่า “โกนขนอ่อนช่วยทำให้เป็นสิวยากขึ้น” หากเราพิจารณาดูด้วยเหตุและผล โอกาสที่คำพูดนี้จะเป็นจริงนั้นมีต่ำมากครับ เพราะถึงเราจะโกนขนออกไปแล้ว ก็ยังเหลือเป็นตอขนอยู่ดี โอกาสในการอุดตันของรูขุมขนไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้นถ้าหากเราจะหวังผลในแง่ของ Make-up โกนขนแล้วช่วยทำให้ลงรองพื้นได้เนียนขึ้น ประกอบกับเราเป็นคนผิวแข็งแรง ไม่ได้เป็นสิวเยอะ หรือผิวไม่ได้ระคายเคืองอยู่ ผมแนะนำว่าสามารถโกนได้ครับ แต่ถ้าหากจะหวังผลในแง่ของ Skincare หรือหวังผลทำให้ลดการเกิดสิว หรือเกิดสิวได้ยากขึ้น อันนี้ไม่สามารถช่วยได้ครับ
การดูแลผิวเพื่อให้สิวเกิดได้ยากขึ้นนั้น โดยหลักแล้วมีอยู่ 3 ข้อคือ
- ล้างหน้าให้ถูกวิธี สามารถตามไปอ่านรายละเอียดได้ใน Handbook ตอนที่ 20 ‘ล้างหน้าอย่างไร ดีต่อผิว’ หรือคลิกที่ลิ้งนี้ http://bit.ly/2WKisQW ได้เลยครับ
- ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวให้เพียงพอ ทั้งน้ำและน้ำมัน อ่านรายละเอียดต่อได้ในบทความเรื่อง ‘Moisture ได้ยินบ่อย ๆ เข้าใจความหมายจริง ๆ หรือยัง ?’ หรือคลิก https://bit.ly/3h3tv1f ได้เลยครับ
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การพักผ่อน อาหารบางชนิด ความเครียด ฯลฯ

สุดท้ายผมขอแนะนำ Skincare routine ทั้ง 4 ขั้นตอน ตามแบบฉบับของ AMT ดังนี้ครับ
- AMT Brightening & Moisturizing Liposome Serum
ฟื้นฟูเกราะผิวให้แข็งแรง ช่วยบูสท์ให้สกินแคร์ในลำดับถัดไปซึมผ่านได้ดีขึ้น ช่วยทำให้ฝ้า กระ จุดด่างดำจางลง ด้วย Niacinamide ในรูปแบบไลโปโซม
- AMT Rejuvenating & Brightening LIGHT/RICH Emulsion
มีสัดส่วน Inner Oil : Surface Oil ที่พอเหมาะ ทำให้ผิวนุ่ม เด้ง เฟิร์ม สว่างกระจ่างใส ดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
- AMT All Day Nourishing Deep Essence Mist
สเปรย์ละออง Essence แบบ Ultra-fine ครอบคลุมทั่วใบหน้า ให้สารอาหารจำพวกกรดอะมิโน น้ำตาล เปปไทด์ ซึมซาบลึกเข้าบำรุงผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้นราวกับลูกโป่งน้ำ
- AMT Anti-aging & Intensive Moisturizing Night Cream (กำลังจะวางจำหน่ายเร็ว ๆ นี้ครับ)
เน้นการปิดฝาผิว พร้อมล็อคการบำรุงผิวจากขั้นตอนต้น ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และลดเลือนริ้วรอย
Tag : Beauty tips สิว ผิวระคายเคืองง่าย ไม่กระจ่างใส
#AMTSkincare #AMTfamily #AMTHandbook #YourSkinGuardian #Skincare #สกินแคร์
ติดตามและเป็นกำลังใจให้พวกเราได้ที่