
ประเทศไทยของเรานั้นตั้งอยู่ในแนวเส้นศูนย์สูตร นอกจากจะได้รับรังสี UV มากตลอดทั้งปีแล้ว อากาศก็ร้อนแทบจะตลอดทั้งปีอีกด้วยครับ ยิ่งช่วงเดือน มีนา-เมษา แบบนี้ แค่เดินออกไปข้างนอกแค่แป๊บเดียว บางทีก็ร้อนมากจนแทบทนไม่ไหวเลยครับ
ผมเชื่อว่าทุก ๆ ท่านทราบกันดีว่า รังสี UV ทำร้ายผิวอย่างไร และเราควรทำอย่างไรเพื่อป้องกันผิวโดยทำร้ายจากรังสี UV
แต่ทราบกันหรือไม่ครับว่า นอกจากรังสี UV แล้ว “ความร้อนก็ทำร้ายผิวได้เช่นกัน” แล้วเราจะดูแลผิวไม่ให้ถูกทำร้ายด้วยความร้อนได้อย่างไรบ้าง ตามมาอ่านเนื้อหาใต้ภาพได้เลยครับผม

“ความร้อน” คือรังสีชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Infrared (หรือเรียกย่อ ๆ ว่า IR) เป็นรังสีที่มาจากดวงอาทิตย์ ซึ่งเมื่อรังสี IR กระทบกับโมเลกุลน้ำในอากาศ หรือในผิว จะทำให้โมเลกุลของน้ำเกิดการสั่นสะเทือน และปล่อยความร้อนออกมา คล้าย ๆ กับเวลาเราอุ่นอาหารด้วยเตาไมโครเวฟเลยครับ เตาไมโครเวฟจะปล่อยรังสีไมโครเวฟออกมาเพื่อทำให้น้ำในอาหารสั่นสะเทือน และเปลี่ยนเป็นความร้อนครับ

จะช่วยรับรังสี IR ส่วนมากเอาไว้ แล้วเปลี่ยนเป็นความร้อนแทนให้ครับ นั่นหมายความว่า “ยิ่งผิวชุ่มชื้น ยิ่งปลอดภัยจากรังสี IR”

หลาย ๆ ท่านอ่านมาถึงตรงนี้ อาจเกิดคำถามตามมาว่า แล้วความร้อนที่สูงขึ้นนั้นทำอะไรกับผิวบ้าง ?
คำตอบคือ ความร้อนที่สูงขึ้น จะส่งผล 3 ประการ นั่นก็คือ
- Enzyme ต่าง ๆ ที่อยู่ในผิวก็จะทำงานได้แย่ลง ประสิทธิภาพในการทำงานของเซลล์ก็จะลดลง
- หลอดเลือดฝอยขยายตัว ผิวเกิดการเห่อแดง
- ผิวของเราจึงต้องหาทางที่จะลดอุณหภูมิโดยการหลั่งเหงื่อออกมา
ซึ่งเมื่อน้ำในเหงื่อระเหยออกไป อุณหภูมิผิวก็จะลดลง แล้วพออุณหภูมิลดลง Enzyme ที่อยู่ในผิวก็จะทำงานได้ดีขึ้น หลอดเลือดฝอยก็จะหดตัวลงกลับที่เดิม ผิวที่เห่อแดงก็จะดีขึ้น และสุดท้ายเมื่ออุณภูมิผิวกลับมาเป็นปกติ ต่อมเหงื่อก็จะหยุดหลั่งเหงื่อนั่นเองครับ

แต่ ๆ ๆ อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับว่าการหลั่งเหงื่อออกมาจะมีแต่ข้อดีอย่างเดียว เพราะจริง ๆ แล้ว เหงื่อของคนเรานั้นไม่ได้ประกอบด้วยน้ำเพียงอย่างเดียว แต่ยังประกอบไปด้วยเกลือชนิดต่าง ๆ และยูเรียที่มีความเป็นด่าง โดยปกติแล้ว pH ที่ผิวของคนเราจะอยู่ที่ประมาณ 5.5 แต่ pH ของเหงื่อนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 6-7 ทุก ๆ ครั้งที่เหงื่อถูกหลั่งออกมา สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ
- pH ของผิวก็จะสูงขึ้น ประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโดยธรรมชาติของผิวที่อาศัย pH 5.5 ก็จะแย่ลงครับ
- นอกจากนี้ เหงื่อที่ออกมาแล้ว มันก็ไม่ได้ระเหยออกไปทันที ผิวก็ถูกแช่อยู่ในน้ำเหงื่อ ทำให้เกราะผิว (Skin Barrier) เกิดการยุ่ย (เหมือนกับเวลาที่เราว่ายน้ำนาน ๆ แล้วนิ้วมือเปื่อย ๆ น่ะครับ)
- และเมื่อน้ำเหงื่อระเหยออกไปแล้ว ก็จะเกิดคราบเกลือและยูเรียหลงเหลืออยู่บนผิวหนัง (สังเกตได้จากเวลาที่เราเหงื่อออก ก็จะเห็นเป็นคราบขาว ๆ ตามคอเสื้อหรือหลังเสื้อนั่นแหละครับ)
- น้ำในผิว จะถูกดึงออกมาเพื่อเจือจางคราบเกลือและยูเรียเหล่านั้น ส่งผลให้ผิวเสียน้ำอย่างมากเลยครับ

ทีนี้ การดูแลผิวหลังจากเหงื่อออก ทำอย่างไร ?
ขั้นตอนที่ 1 : ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า แต่หากไม่สะดวก ก็ให้ซับผิวด้วยกระดาษเช็ดหน้าที่เปียกน้ำ หรือใช้ทิชชู่เปียกสำเร็จรูปที่ปราศจากน้ำหอมและแอลกอฮอล์ซับ เพื่อเอาคราบเกลือต่าง ๆ ออกจากผิว ซึ่งการซับแบบเปียกนั้นจะดีกว่าการซับแบบแห้ง เหมือนกับเวลาที่เราจะเช็ดคราบสกปรกแห้งอะไรซักอย่าง การเช็ดด้วยผ้าชุบน้ำก็ย่อมเช็ดออกได้ง่ายกว่า และดีกว่าการเช็ดด้วยผ้าแห้ง ๆ จริงมั้ยล่ะครับ
ขั้นตอนที่ 2 : หลังจากนั้นแนะนำให้บำรุงด้วย AMT All Day Nourishing Deep Essence Mist เพื่อลดอุณหภูมิผิวให้เร็วที่สุด ไปพร้อม ๆ กับเติมน้ำและสารให้ความชุ่มชื้นที่จำเป็น จำพวกกรดอะมิโน น้ำตาล และเปปไทด์ให้กับผิว ผิวที่เสียน้ำไปจะกลับมาเต่งเหมือนเดิม
และขั้นตอนสุดท้ายก็คือ เติมกันแดด และแป้ง หรือแป้งผสมรองพื้น ตามความเหมาะสมและจำเป็นครับ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากเย็นแล้วอาจไม่ต้องเติมก็ได้ครับ หรือถ้าหากเช้าอยู่ยังมีโอกาสเจอแดดก็ควรเติมกันแดด เป็นต้นครับ

สุดท้ายผมขอฝาก AMT All Day Nourishing Deep Essence Mist ละออง Essence ละเอียด แบบ Ultra-fine ครอบคลุมทั่วใบหน้า สามารถลดอุณหภูมิผิวได้อย่างรวดเร็ว แห้งไว ไม่รบกวนเมคอัพและกันแดด พร้อมให้สารอาหารจำพวกกรดอะมิโน น้ำตาล เปปไทด์ นอกจากนี้ยังมี Lysolecithin ช่วยนำส่งสารอาหารเข้าสู่ผิว และปลอบประโลมผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดดอีกด้วยครับ
Tag : Beauty tips ปัญหาผิวแห้ง
#AMTSkincare #AMTfamily #AMTHandbook #YourSkinGuardian #Skincare #สกินแคร์
ติดตามและเป็นกำลังใจให้พวกเราได้ที่

ประเทศไทยของเรานั้นตั้งอยู่ในแนวเส้นศูนย์สูตร นอกจากจะได้รับรังสี UV มากตลอดทั้งปีแล้ว อากาศก็ร้อนแทบจะตลอดทั้งปีอีกด้วยครับ ยิ่งช่วงเดือน มีนา-เมษา แบบนี้ แค่เดินออกไปข้างนอกแค่แป๊บเดียว บางทีก็ร้อนมากจนแทบทนไม่ไหวเลยครับ
ผมเชื่อว่าทุก ๆ ท่านทราบกันดีว่า รังสี UV ทำร้ายผิวอย่างไร และเราควรทำอย่างไรเพื่อป้องกันผิวโดยทำร้ายจากรังสี UV
แต่ทราบกันหรือไม่ครับว่า นอกจากรังสี UV แล้ว “ความร้อนก็ทำร้ายผิวได้เช่นกัน” แล้วเราจะดูแลผิวไม่ให้ถูกทำร้ายด้วยความร้อนได้อย่างไรบ้าง ตามมาอ่านเนื้อหาใต้ภาพได้เลยครับผม

“ความร้อน” คือรังสีชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Infrared (หรือเรียกย่อ ๆ ว่า IR) เป็นรังสีที่มาจากดวงอาทิตย์ ซึ่งเมื่อรังสี IR กระทบกับโมเลกุลน้ำในอากาศ หรือในผิว จะทำให้โมเลกุลของน้ำเกิดการสั่นสะเทือน และปล่อยความร้อนออกมา คล้าย ๆ กับเวลาเราอุ่นอาหารด้วยเตาไมโครเวฟเลยครับ เตาไมโครเวฟจะปล่อยรังสีไมโครเวฟออกมาเพื่อทำให้น้ำในอาหารสั่นสะเทือน และเปลี่ยนเป็นความร้อนครับ

จะช่วยรับรังสี IR ส่วนมากเอาไว้ แล้วเปลี่ยนเป็นความร้อนแทนให้ครับ นั่นหมายความว่า “ยิ่งผิวชุ่มชื้น ยิ่งปลอดภัยจากรังสี IR”

หลาย ๆ ท่านอ่านมาถึงตรงนี้ อาจเกิดคำถามตามมาว่า แล้วความร้อนที่สูงขึ้นนั้นทำอะไรกับผิวบ้าง ?
คำตอบคือ ความร้อนที่สูงขึ้น จะส่งผล 3 ประการ นั่นก็คือ
- Enzyme ต่าง ๆ ที่อยู่ในผิวก็จะทำงานได้แย่ลง ประสิทธิภาพในการทำงานของเซลล์ก็จะลดลง
- หลอดเลือดฝอยขยายตัว ผิวเกิดการเห่อแดง
- ผิวของเราจึงต้องหาทางที่จะลดอุณหภูมิโดยการหลั่งเหงื่อออกมา
ซึ่งเมื่อน้ำในเหงื่อระเหยออกไป อุณหภูมิผิวก็จะลดลง แล้วพออุณหภูมิลดลง Enzyme ที่อยู่ในผิวก็จะทำงานได้ดีขึ้น หลอดเลือดฝอยก็จะหดตัวลงกลับที่เดิม ผิวที่เห่อแดงก็จะดีขึ้น และสุดท้ายเมื่ออุณภูมิผิวกลับมาเป็นปกติ ต่อมเหงื่อก็จะหยุดหลั่งเหงื่อนั่นเองครับ

แต่ ๆ ๆ อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับว่าการหลั่งเหงื่อออกมาจะมีแต่ข้อดีอย่างเดียว เพราะจริง ๆ แล้ว เหงื่อของคนเรานั้นไม่ได้ประกอบด้วยน้ำเพียงอย่างเดียว แต่ยังประกอบไปด้วยเกลือชนิดต่าง ๆ และยูเรียที่มีความเป็นด่าง โดยปกติแล้ว pH ที่ผิวของคนเราจะอยู่ที่ประมาณ 5.5 แต่ pH ของเหงื่อนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 6-7 ทุก ๆ ครั้งที่เหงื่อถูกหลั่งออกมา สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ
- pH ของผิวก็จะสูงขึ้น ประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโดยธรรมชาติของผิวที่อาศัย pH 5.5 ก็จะแย่ลงครับ
- นอกจากนี้ เหงื่อที่ออกมาแล้ว มันก็ไม่ได้ระเหยออกไปทันที ผิวก็ถูกแช่อยู่ในน้ำเหงื่อ ทำให้เกราะผิว (Skin Barrier) เกิดการยุ่ย (เหมือนกับเวลาที่เราว่ายน้ำนาน ๆ แล้วนิ้วมือเปื่อย ๆ น่ะครับ)
- และเมื่อน้ำเหงื่อระเหยออกไปแล้ว ก็จะเกิดคราบเกลือและยูเรียหลงเหลืออยู่บนผิวหนัง (สังเกตได้จากเวลาที่เราเหงื่อออก ก็จะเห็นเป็นคราบขาว ๆ ตามคอเสื้อหรือหลังเสื้อนั่นแหละครับ)
- น้ำในผิว จะถูกดึงออกมาเพื่อเจือจางคราบเกลือและยูเรียเหล่านั้น ส่งผลให้ผิวเสียน้ำอย่างมากเลยครับ

ทีนี้ การดูแลผิวหลังจากเหงื่อออก ทำอย่างไร ?
ขั้นตอนที่ 1 : ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า แต่หากไม่สะดวก ก็ให้ซับผิวด้วยกระดาษเช็ดหน้าที่เปียกน้ำ หรือใช้ทิชชู่เปียกสำเร็จรูปที่ปราศจากน้ำหอมและแอลกอฮอล์ซับ เพื่อเอาคราบเกลือต่าง ๆ ออกจากผิว ซึ่งการซับแบบเปียกนั้นจะดีกว่าการซับแบบแห้ง เหมือนกับเวลาที่เราจะเช็ดคราบสกปรกแห้งอะไรซักอย่าง การเช็ดด้วยผ้าชุบน้ำก็ย่อมเช็ดออกได้ง่ายกว่า และดีกว่าการเช็ดด้วยผ้าแห้ง ๆ จริงมั้ยล่ะครับ
ขั้นตอนที่ 2 : หลังจากนั้นแนะนำให้บำรุงด้วย AMT All Day Nourishing Deep Essence Mist เพื่อลดอุณหภูมิผิวให้เร็วที่สุด ไปพร้อม ๆ กับเติมน้ำและสารให้ความชุ่มชื้นที่จำเป็น จำพวกกรดอะมิโน น้ำตาล และเปปไทด์ให้กับผิว ผิวที่เสียน้ำไปจะกลับมาเต่งเหมือนเดิม
และขั้นตอนสุดท้ายก็คือ เติมกันแดด และแป้ง หรือแป้งผสมรองพื้น ตามความเหมาะสมและจำเป็นครับ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากเย็นแล้วอาจไม่ต้องเติมก็ได้ครับ หรือถ้าหากเช้าอยู่ยังมีโอกาสเจอแดดก็ควรเติมกันแดด เป็นต้นครับ

สุดท้ายผมขอฝาก AMT All Day Nourishing Deep Essence Mist ละออง Essence ละเอียด แบบ Ultra-fine ครอบคลุมทั่วใบหน้า สามารถลดอุณหภูมิผิวได้อย่างรวดเร็ว แห้งไว ไม่รบกวนเมคอัพและกันแดด พร้อมให้สารอาหารจำพวกกรดอะมิโน น้ำตาล เปปไทด์ นอกจากนี้ยังมี Lysolecithin ช่วยนำส่งสารอาหารเข้าสู่ผิว และปลอบประโลมผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดดอีกด้วยครับ
Tag : Beauty tips ปัญหาผิวแห้ง
#AMTSkincare #AMTfamily #AMTHandbook #YourSkinGuardian #Skincare #สกินแคร์
ติดตามและเป็นกำลังใจให้พวกเราได้ที่