link slot Pragmatic Play resmi dan terpercaya 2024

Spaceman Slot

permainan spaceman slot Resmi di Indonesia

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

Handbook 8 แพ้ ระคายเคือง อุดตัน เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

24/03/2022

แชร์บทความนี้

The Skincare Handbook by AMT Skincare

คอนเทนต์ให้ความรู้เกี่ยวกับผิว และวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับสกินแคร์

ตอนที่ 8 “แพ้” “ระคายเคือง” “(ทำให้) อุดตัน” เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ?

แพ้ (Allergy)

เป็นกระบวนการตอบสนองของผิวต่อสารใดสารหนึ่งที่คาดว่าจะมีอันตราย (บางทีสารนั้นไม่ได้มีอันตรายจริง ๆ หรอกครับ ผิวเราบางทีก็เข้าใจผิดไปเอง)

 

โดยสารนั้น ๆ ผิว “ต้องเคยเจอ” มาก่อนแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง และพอเจออีกครั้งเป็นครั้งที่สอง ผิวก็จะตอบสนองออกมาโดยมีอาการที่สำคัญคือ “แดง บวม คัน ลอก” โดยอาการนี้อาจจะเกิดในตำแหน่งที่สัมผัสกับสารก่อแพ้ หรือ บางทีก็เกิดในตำแหน่งอื่นได้ครับ

 

ยกตัวอย่างคล้าย ๆ กับการแพ้อาหาร เช่น คนแพ้กุ้ง กินกุ้งเข้าไป บางคนก็มีอาการแดง, คันรอบบริเวณปาก บางคนก็คันทั้งตัว หรือบางคนที่มีอาการมาก อาจจะเกิดการบวมของผนังทางเดินหายใจ ทำให้หายใจติดขัดได้ เป็นต้นครับ

 

ระยะเวลาในการเกิดการแพ้ หลังจากผิวเจอสารก่อแพ้เข้าไป อาจจะเกิดทันที หรืออาจจะเกิดช้าออกไปเป็นสัปดาห์ก็ได้ครับ เช่น ทาครีมวันนี้ไปแพ้เอาอาทิตย์หน้า แบบนี้ก็มีครับ

 

สารที่เป็นต้นเหตุของการแพ้นั้น “เป็นไปได้ทุกตัว” ครับ การจะระบุว่าแพ้สารตัวไหนในครีม ค่อนข้างยากมากครับ ถ้าอยากรู้จริง ๆ ต้องไปทำเทสต์ครับ แต่จากงานวิจัยหลาย ๆ ฉบับ สรุปสารที่คนมักแพ้ง่าย (คำว่าแพ้ง่ายในที่นี้คือ ประมาณ1% เองนะครับ 100 คนแพ้สัก 1 คน) ออกมาเป็น 5 กลุ่มครับ

1. กลุ่มน้ำมันหอมระเหย – โดยเฉพาะตระกูล Citrus พบการแพ้ได้บ่อยครับ

2. โลหะหนัก – นิกเกิล, ทอง

3. สี – ที่มักพบว่าแพ้ เช่น น้ำมันดิน (Coal Tar) ซึ่งแต่ก่อนใช้ในสีย้อมผมกันมาก

4. ยางธรรมชาติ (Latex)

5. สารกันเสีย – ตัวที่พบว่าแพ้ในระดับ 1% เช่น กลุ่ม Thiazolinone, กลุ่มที่ปล่อย Formaldehyde ที่ยังพบว่ามีการใช้อยู่ เช่น DMDM Hydantoin

 

การที่นักวิชาการรายงานสารที่ก่อแพ้ออกมาในลักษณะนี้ ผมมองว่ามันเป็นเหมือน “ดาบสองคม” ครับ ข้อดีคือ เราได้รับรู้ว่าสารใดควรเฝ้าระวัง แต่ข้อเสียคือ ผู้บริโภคมักเกิดความเข้าใจผิดว่า สารทั้งกลุ่มนั้นทั้งหมดก่อการแพ้ได้ง่าย เช่น สารกันบูดแพ้ง่ายทุกตัว, น้ำหอมแพ้ง่ายทุกตัว หรือสารที่ไม่ใส่สีปลอดภัยกว่า เป็นต้น ซึ่งบางทีก็ไม่จริงเสมอไปครับ


ถ้าถามความเห็นผม ผมคิดว่า การแพ้ (Allergy) ต่อสารเคมีใดสารเคมีหนึ่งในสกินแคร์พบไม่มากครับ น่าจะอยู่ในระดับ 1-2% ของความผิดปกติจากการใช้สกินแคร์เท่านั้นเองครับ

อ้าว แล้วที่ใช้แล้วหน้าเห่อแดง แสบ คัน ไม่เรียกแพ้ แล้วเรียกว่าอะไร ?

 

ส่วนใหญ่ (ผมเชื่อว่าเกิน 50%) ความผิดปกติจากการใช้สกินแคร์มาจาก “ความระคายเคือง” ครับ

 

ระคายเคือง (Irritation)

อาการที่พบเหมือนกับการแพ้ทุกประการครับ นั่นคือ “แดง บวม คัน ลอก” แต่จะมีข้อแตกต่างคือ ทาตรงไหนก็จะมีอาการแค่ตรงนั้นครับ อีกอย่างที่สังเกตุได้ชัดคือ อาการมักเกิดทันทีในระดับวินาที หรืออย่างช้าไม่เกินภายใน 5 นาทีครับ ขึ้นอยู่กับความหนาของหนังหน้า เอ้ยไม่ใช่ครับ ความแข็งแรงของ Skin Barrier ของแต่ละคนครับ

 

สาเหตุของความระคายเคือง เราแบ่งได้เป็น 2 กลไกใหญ่ ดังนี้ครับ

 

กลไกที่ 1 : สารนั้นมีค่าความเป็นกรดหรือด่างที่สูงเกินไปครับ

 

โดยสารที่เป็นกรดจะไปละลายกาว (Desmosome) ที่เชื่อมเซลล์ Corneocyte ออก ทำให้เซลล์หลุดลอกออกไปครับ ได้แก่ AHA, BHA ต่าง

 

ส่วนสารที่เป็นด่างจะไปทำลายโปรตีน (Corneoenvelope) ที่หุ้มเซลล์ Corneocyte ทำให้เซลล์แตก ในชีวิตประจำวันบางคนอาจจะเคยรู้สึกนิ้วมือลื่น ๆ เวลาสัมผัสน้ำปูนใสเข้มข้น หรือ เวลาไปแช่ออนเซ็นที่ค่าความเป็นด่างสูง ๆ ที่จริงผิวคุณกำลังโดนละลายอยู่น่ะครับ สารในกลุ่มนี้ เช่น Conditioning Agent บางชนิดที่มักพบในครีมนวดผม เป็นต้นครับ

 

กลไกที่ 2 : สารนั้นมีความสามารถในการชะล้างหรือละลายเอาไขมันที่อยู่ระหว่างเซลล์ (Intercellular Lipid) ออกไป โดยจะแบ่งเป็นกลุ่มที่มีฤทธิ์ชำระล้าง เช่น SLS และกลุ่มที่มีฤทธิ์ละลาย เช่น Isopropylmyristate(IPM), Isododecane เป็นต้นครับ

 

โดยไม่ว่าจะด้วยกลไกที่ 1 หรือ 2 ก็ตาม ผลเสียที่ได้รับคือ Skin Barrier จะถูกทำลาย ทำให้สารก่อความระคายเคืองจากภายนอก ยิ่งเข้ามาทำลายผิวได้มากขึ้น อีกทั้งผิวยังไม่สามารถกักเก็บน้ำได้ ทำให้ผิวแห้ง แสบ

 

ถ้าสัมผัสมาก หรือ เดิมที Skin Barrier ไม่แข็งแรง (หรือที่มักเรียกว่า Sensitive Skin) อยู่แล้ว ก็อาจจะเกิดการอักเสบแดง บวม คัน ลอกได้มากและรุนแรงครับ

 

***เห็นมั้ยครับ Skin Barrier สำคัญจริง ครับ นอกเรื่องนิดนึงครับ อย่างผมเองใช้หนังหน้าทำงานเยอะมากครับ ตอนทำงานเป็นนักวิจัยสกินแคร์ใหม่ ๆ ทำสูตรอะไรมาก็ลองกับหน้าตัวเองนี่แล่ะครับ วันนึงหลายสูตร ทา ล้าง เช็ด ทั้งวันครับ ตอนนั้นที่โต๊ะทำงานผมจะต้องมีครีมหรือเซรั่มที่มี Lecithin ผสมอยู่ วางไว้ตลอดครับ ไปเทสสูตรในห้องแลป พอเดินกลับมานั่งพักที่โต๊ะก็ควักโปะซ่อมหน้าตัวเองไปครับ

ความผิดปกติอีกชนิดที่พบได้บ่อย แต่อาการจะค่อนข้างต่างออกไปอย่างชัดเจน นั่นก็คือ Comedone ซึ่งเกิดจากสารนั้น มีคุณสมบติ “ทำให้” เกิดการอุดตันของรูขุมขนครับ

 

ที่ผมต้องเน้นคำว่า “ทำให้” ก็เพราะว่า สารที่มีฤทธิ์เป็น Comedogenic ไม่ได้ไปอุดตันรูขุมขนด้วยตัวของมันเอง แต่มันจะไปกระตุ้นให้เซลล์ผิวที่อยู่ที่ผนังด้านในของรูขุมขนแบ่งตัวเพิ่มขึ้นจนรูขุมขนแคบลงและอุดตันในที่สุด (Follicular Hyperkeratinosis)

 

และเมื่อการอุดตันเกิดขึ้น ไขมันจากต่อมไขมันก็จะออกมาไม่ได้ เกิดเป็นสิวเม็ดเล็ก เรียกว่า Comedone ซึ่งมีทั้งสีขาว (ไม่มีรูเปิด) และสีดำ (มีรูเปิด) และหากมีการอักเสบติดเชื้อร่วมด้วยก็จะพัฒนาเป็นสิวอักเสบมีหนองได้ในที่สุดครับ

 

ความผิดปกติชนิดนี้พบได้บ่อยเหมือนกันครับ(อันดับสองรองจากระคายเคือง) และมีข้อสังเกตคือ

1. อาการจะไม่เป็นทันที จะเกิดในระดับวันถึงสัปดาห์หลังจากได้รับสารนั้น ติดต่อกัน

2. ไม่จำเป็นว่าสารนั้นต้องเป็นไขมัน สารบางตัวละลายน้ำได้ แต่มีฤทธิ์เป็น Comedogenic ที่สูงก็มี

3. สารที่เป็นไขมันหนืด ๆ ที่ดูน่าจะอุดตันแน่ ๆ ที่จริงแล้วส่วนใหญ่เป็น Comedogenic ต่ำครับ เพราะมันหนืดจน ลงไปในรูขุมขนไม่ได้ เลยไปกระตุ้นการแบ่งตัวภายในรูขุมขนไม่ได้นั่นเองครับ

4. ในทางกลับกัน น้ำมันที่ความหนืดต่ำ ๆ โมเลกุลขนาดปานกลาง กลับเป็น Comedogenic ที่สูง เนื่องจากเข้าไปในรูขุมขนได้ลึกและทำให้เกิดการแบ่งตัวเพิ่มขึ้น จนทำให้รูขุมขนตีบตัน


สารที่เป็นต้นเหตุของการเกิด Comedone แบ่งออกเป็นกลุ่ม ได้ยากครับ สารกลุ่มเดียวกันบางตัวเป็น Highly Comedogenic แต่บางตัวกลับเป็น Non-comedogenic จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเอาสารมาทดสอบเป็นตัว ครับ งานวิจัยในลิงก์ข้างล่างนี้ดังมากครับ เป็นงานวิจัยที่ถูกใช้อ้างอิงในเรื่อง Comedogenic บ่อยมากครับ คนทำวิจัย James Fulton เป็นคุณหมอผิวหนัง และยังเป็นผู้ร่วมคิดค้นสูตรยาแก้สิว RetinA , Benzac ที่ทุกวันนี้ใช้กันแพร่หลายมากครับ

สุดท้ายผมอยากบอกกับทุก คนว่า

 

” ระวังได้ แต่อย่ากลัวเกินไป”

 

สารตัวใดตัวหนึ่งอาจจะเป็น Highly Irritative & Comedogenic Ingredient แต่ไม่ได้แปลว่าการมีสารนั้นอยู่ในฉลาก ผลิตภัณฑ์นั้นจะต้องเป็น Highly Irritative & Comedogenic Products เสมอไป มันขึ้นอยู่กับปริมาณด้วย, ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ร่วมกับสารอื่น อะไรบ้าง, ลักษณะการใช้ว่าเป็นแบบทาทิ้งไว้หรือล้างออก, ขึ้นกับสภาพผิวของคน นั้น ณ เวลานั้น ๆ และยังมีอีกมากมายหลายปัจจัยครับ

 

ส่วนตัวผมมีความเห็นว่าผลิตภัณฑ์หนึ่ง ในตลาด จะมีความเสี่ยงต่อความผิดปกติของผิวมากหรือน้อยนั้น ปัจจัยที่สำคัญคือ

 

“ความรู้ความเชี่ยวชาญของผู้คิดค้นสูตร + ธรรมาภิบาลของผู้ประกอบการ”

 

ผมอยากให้ทุก ท่านได้โปรดเชื่อมั่นใน AMT Skincare เราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเท่าเทียมกับประสิทธิภาพ เรามีความรู้ในด้านวิทยาศาสตร์ เรามีประสบการณ์ในงานด้านนี้มายาวนาน และที่สำคัญเราไม่รู้จะทำของไม่มีคุณภาพมาขายทำไม เพราะสำหรับเรา การทำของดีมีคุณภาพมันง่ายกว่ากันเยอะ

 

แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีสูตรตำรับไหนบนโลกใบนี้ที่สามารถพูดได้ 100% ว่าจะไม่เกิดความผิดปกติแน่นอนครับ ถึงแม้บางแบรนด์จะพูดว่าใช้แล้วไม่แพ้, ผิวบอบบางก็ใช้ได้, ผ่านการตรวจสอบจากแพทย์ผิวหนัง, ไม่ก่อให้เกิดสิวหรือระคายเคืองก็ตาม

 

ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือ หากท่านใช้แล้วเกิดความผิดปกติเกิดขึ้น ให้หยุดใช้ทันที ล้างบริเวณที่มีอาการผิดปกติด้วยน้ำสะอาดมาก ๆ (กรณีอาการผิดปกติเกิดทันทีหลังใช้) และหากมีอาการมากให้รีบปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญครับ

Tag : ผิวระคายเคืองง่าย สิว

#AMTSkincare #AMTfamily #YourSkinGuardian #Handbook #Skincare #สกินแคร์

ติดตามและเป็นกำลังใจให้กับพวกเราได้ที่

https://linktr.ee/AMTSkincare

The Skincare Handbook by AMT Skincare

คอนเทนต์ให้ความรู้เกี่ยวกับผิว และวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับสกินแคร์

ตอนที่ 8 “แพ้” “ระคายเคือง” “(ทำให้) อุดตัน” เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ?

แพ้ (Allergy)

เป็นกระบวนการตอบสนองของผิวต่อสารใดสารหนึ่งที่คาดว่าจะมีอันตราย (บางทีสารนั้นไม่ได้มีอันตรายจริง ๆ หรอกครับ ผิวเราบางทีก็เข้าใจผิดไปเอง)

 

โดยสารนั้น ๆ ผิว “ต้องเคยเจอ” มาก่อนแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง และพอเจออีกครั้งเป็นครั้งที่สอง ผิวก็จะตอบสนองออกมาโดยมีอาการที่สำคัญคือ “แดง บวม คัน ลอก” โดยอาการนี้อาจจะเกิดในตำแหน่งที่สัมผัสกับสารก่อแพ้ หรือ บางทีก็เกิดในตำแหน่งอื่นได้ครับ

 

ยกตัวอย่างคล้าย ๆ กับการแพ้อาหาร เช่น คนแพ้กุ้ง กินกุ้งเข้าไป บางคนก็มีอาการแดง, คันรอบบริเวณปาก บางคนก็คันทั้งตัว หรือบางคนที่มีอาการมาก อาจจะเกิดการบวมของผนังทางเดินหายใจ ทำให้หายใจติดขัดได้ เป็นต้นครับ

 

ระยะเวลาในการเกิดการแพ้ หลังจากผิวเจอสารก่อแพ้เข้าไป อาจจะเกิดทันที หรืออาจจะเกิดช้าออกไปเป็นสัปดาห์ก็ได้ครับ เช่น ทาครีมวันนี้ไปแพ้เอาอาทิตย์หน้า แบบนี้ก็มีครับ

 

สารที่เป็นต้นเหตุของการแพ้นั้น “เป็นไปได้ทุกตัว” ครับ การจะระบุว่าแพ้สารตัวไหนในครีม ค่อนข้างยากมากครับ ถ้าอยากรู้จริง ๆ ต้องไปทำเทสต์ครับ แต่จากงานวิจัยหลาย ๆ ฉบับ สรุปสารที่คนมักแพ้ง่าย (คำว่าแพ้ง่ายในที่นี้คือ ประมาณ1% เองนะครับ 100 คนแพ้สัก 1 คน) ออกมาเป็น 5 กลุ่มครับ

1. กลุ่มน้ำมันหอมระเหย – โดยเฉพาะตระกูล Citrus พบการแพ้ได้บ่อยครับ

2. โลหะหนัก – นิกเกิล, ทอง

3. สี – ที่มักพบว่าแพ้ เช่น น้ำมันดิน (Coal Tar) ซึ่งแต่ก่อนใช้ในสีย้อมผมกันมาก

4. ยางธรรมชาติ (Latex)

5. สารกันเสีย – ตัวที่พบว่าแพ้ในระดับ 1% เช่น กลุ่ม Thiazolinone, กลุ่มที่ปล่อย Formaldehyde ที่ยังพบว่ามีการใช้อยู่ เช่น DMDM Hydantoin

 

การที่นักวิชาการรายงานสารที่ก่อแพ้ออกมาในลักษณะนี้ ผมมองว่ามันเป็นเหมือน “ดาบสองคม” ครับ ข้อดีคือ เราได้รับรู้ว่าสารใดควรเฝ้าระวัง แต่ข้อเสียคือ ผู้บริโภคมักเกิดความเข้าใจผิดว่า สารทั้งกลุ่มนั้นทั้งหมดก่อการแพ้ได้ง่าย เช่น สารกันบูดแพ้ง่ายทุกตัว, น้ำหอมแพ้ง่ายทุกตัว หรือสารที่ไม่ใส่สีปลอดภัยกว่า เป็นต้น ซึ่งบางทีก็ไม่จริงเสมอไปครับ


ถ้าถามความเห็นผม ผมคิดว่า การแพ้ (Allergy) ต่อสารเคมีใดสารเคมีหนึ่งในสกินแคร์พบไม่มากครับ น่าจะอยู่ในระดับ 1-2% ของความผิดปกติจากการใช้สกินแคร์เท่านั้นเองครับ

อ้าว แล้วที่ใช้แล้วหน้าเห่อแดง แสบ คัน ไม่เรียกแพ้ แล้วเรียกว่าอะไร ?

 

ส่วนใหญ่ (ผมเชื่อว่าเกิน 50%) ความผิดปกติจากการใช้สกินแคร์มาจาก “ความระคายเคือง” ครับ

 

ระคายเคือง (Irritation)

อาการที่พบเหมือนกับการแพ้ทุกประการครับ นั่นคือ “แดง บวม คัน ลอก” แต่จะมีข้อแตกต่างคือ ทาตรงไหนก็จะมีอาการแค่ตรงนั้นครับ อีกอย่างที่สังเกตุได้ชัดคือ อาการมักเกิดทันทีในระดับวินาที หรืออย่างช้าไม่เกินภายใน 5 นาทีครับ ขึ้นอยู่กับความหนาของหนังหน้า เอ้ยไม่ใช่ครับ ความแข็งแรงของ Skin Barrier ของแต่ละคนครับ

 

สาเหตุของความระคายเคือง เราแบ่งได้เป็น 2 กลไกใหญ่ ดังนี้ครับ

 

กลไกที่ 1 : สารนั้นมีค่าความเป็นกรดหรือด่างที่สูงเกินไปครับ

 

โดยสารที่เป็นกรดจะไปละลายกาว (Desmosome) ที่เชื่อมเซลล์ Corneocyte ออก ทำให้เซลล์หลุดลอกออกไปครับ ได้แก่ AHA, BHA ต่าง

 

ส่วนสารที่เป็นด่างจะไปทำลายโปรตีน (Corneoenvelope) ที่หุ้มเซลล์ Corneocyte ทำให้เซลล์แตก ในชีวิตประจำวันบางคนอาจจะเคยรู้สึกนิ้วมือลื่น ๆ เวลาสัมผัสน้ำปูนใสเข้มข้น หรือ เวลาไปแช่ออนเซ็นที่ค่าความเป็นด่างสูง ๆ ที่จริงผิวคุณกำลังโดนละลายอยู่น่ะครับ สารในกลุ่มนี้ เช่น Conditioning Agent บางชนิดที่มักพบในครีมนวดผม เป็นต้นครับ

 

กลไกที่ 2 : สารนั้นมีความสามารถในการชะล้างหรือละลายเอาไขมันที่อยู่ระหว่างเซลล์ (Intercellular Lipid) ออกไป โดยจะแบ่งเป็นกลุ่มที่มีฤทธิ์ชำระล้าง เช่น SLS และกลุ่มที่มีฤทธิ์ละลาย เช่น Isopropylmyristate(IPM), Isododecane เป็นต้นครับ

 

โดยไม่ว่าจะด้วยกลไกที่ 1 หรือ 2 ก็ตาม ผลเสียที่ได้รับคือ Skin Barrier จะถูกทำลาย ทำให้สารก่อความระคายเคืองจากภายนอก ยิ่งเข้ามาทำลายผิวได้มากขึ้น อีกทั้งผิวยังไม่สามารถกักเก็บน้ำได้ ทำให้ผิวแห้ง แสบ

 

ถ้าสัมผัสมาก หรือ เดิมที Skin Barrier ไม่แข็งแรง (หรือที่มักเรียกว่า Sensitive Skin) อยู่แล้ว ก็อาจจะเกิดการอักเสบแดง บวม คัน ลอกได้มากและรุนแรงครับ

 

***เห็นมั้ยครับ Skin Barrier สำคัญจริง ครับ นอกเรื่องนิดนึงครับ อย่างผมเองใช้หนังหน้าทำงานเยอะมากครับ ตอนทำงานเป็นนักวิจัยสกินแคร์ใหม่ ๆ ทำสูตรอะไรมาก็ลองกับหน้าตัวเองนี่แล่ะครับ วันนึงหลายสูตร ทา ล้าง เช็ด ทั้งวันครับ ตอนนั้นที่โต๊ะทำงานผมจะต้องมีครีมหรือเซรั่มที่มี Lecithin ผสมอยู่ วางไว้ตลอดครับ ไปเทสสูตรในห้องแลป พอเดินกลับมานั่งพักที่โต๊ะก็ควักโปะซ่อมหน้าตัวเองไปครับ

ความผิดปกติอีกชนิดที่พบได้บ่อย แต่อาการจะค่อนข้างต่างออกไปอย่างชัดเจน นั่นก็คือ Comedone ซึ่งเกิดจากสารนั้น มีคุณสมบติ “ทำให้” เกิดการอุดตันของรูขุมขนครับ

 

ที่ผมต้องเน้นคำว่า “ทำให้” ก็เพราะว่า สารที่มีฤทธิ์เป็น Comedogenic ไม่ได้ไปอุดตันรูขุมขนด้วยตัวของมันเอง แต่มันจะไปกระตุ้นให้เซลล์ผิวที่อยู่ที่ผนังด้านในของรูขุมขนแบ่งตัวเพิ่มขึ้นจนรูขุมขนแคบลงและอุดตันในที่สุด (Follicular Hyperkeratinosis)

 

และเมื่อการอุดตันเกิดขึ้น ไขมันจากต่อมไขมันก็จะออกมาไม่ได้ เกิดเป็นสิวเม็ดเล็ก เรียกว่า Comedone ซึ่งมีทั้งสีขาว (ไม่มีรูเปิด) และสีดำ (มีรูเปิด) และหากมีการอักเสบติดเชื้อร่วมด้วยก็จะพัฒนาเป็นสิวอักเสบมีหนองได้ในที่สุดครับ

 

ความผิดปกติชนิดนี้พบได้บ่อยเหมือนกันครับ(อันดับสองรองจากระคายเคือง) และมีข้อสังเกตคือ

1. อาการจะไม่เป็นทันที จะเกิดในระดับวันถึงสัปดาห์หลังจากได้รับสารนั้น ติดต่อกัน

2. ไม่จำเป็นว่าสารนั้นต้องเป็นไขมัน สารบางตัวละลายน้ำได้ แต่มีฤทธิ์เป็น Comedogenic ที่สูงก็มี

3. สารที่เป็นไขมันหนืด ๆ ที่ดูน่าจะอุดตันแน่ ๆ ที่จริงแล้วส่วนใหญ่เป็น Comedogenic ต่ำครับ เพราะมันหนืดจน ลงไปในรูขุมขนไม่ได้ เลยไปกระตุ้นการแบ่งตัวภายในรูขุมขนไม่ได้นั่นเองครับ

4. ในทางกลับกัน น้ำมันที่ความหนืดต่ำ ๆ โมเลกุลขนาดปานกลาง กลับเป็น Comedogenic ที่สูง เนื่องจากเข้าไปในรูขุมขนได้ลึกและทำให้เกิดการแบ่งตัวเพิ่มขึ้น จนทำให้รูขุมขนตีบตัน


สารที่เป็นต้นเหตุของการเกิด Comedone แบ่งออกเป็นกลุ่ม ได้ยากครับ สารกลุ่มเดียวกันบางตัวเป็น Highly Comedogenic แต่บางตัวกลับเป็น Non-comedogenic จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเอาสารมาทดสอบเป็นตัว ครับ งานวิจัยในลิงก์ข้างล่างนี้ดังมากครับ เป็นงานวิจัยที่ถูกใช้อ้างอิงในเรื่อง Comedogenic บ่อยมากครับ คนทำวิจัย James Fulton เป็นคุณหมอผิวหนัง และยังเป็นผู้ร่วมคิดค้นสูตรยาแก้สิว RetinA , Benzac ที่ทุกวันนี้ใช้กันแพร่หลายมากครับ

สุดท้ายผมอยากบอกกับทุก คนว่า

 

” ระวังได้ แต่อย่ากลัวเกินไป”

 

สารตัวใดตัวหนึ่งอาจจะเป็น Highly Irritative & Comedogenic Ingredient แต่ไม่ได้แปลว่าการมีสารนั้นอยู่ในฉลาก ผลิตภัณฑ์นั้นจะต้องเป็น Highly Irritative & Comedogenic Products เสมอไป มันขึ้นอยู่กับปริมาณด้วย, ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ร่วมกับสารอื่น อะไรบ้าง, ลักษณะการใช้ว่าเป็นแบบทาทิ้งไว้หรือล้างออก, ขึ้นกับสภาพผิวของคน นั้น ณ เวลานั้น ๆ และยังมีอีกมากมายหลายปัจจัยครับ

 

ส่วนตัวผมมีความเห็นว่าผลิตภัณฑ์หนึ่ง ในตลาด จะมีความเสี่ยงต่อความผิดปกติของผิวมากหรือน้อยนั้น ปัจจัยที่สำคัญคือ

 

“ความรู้ความเชี่ยวชาญของผู้คิดค้นสูตร + ธรรมาภิบาลของผู้ประกอบการ”

 

ผมอยากให้ทุก ท่านได้โปรดเชื่อมั่นใน AMT Skincare เราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเท่าเทียมกับประสิทธิภาพ เรามีความรู้ในด้านวิทยาศาสตร์ เรามีประสบการณ์ในงานด้านนี้มายาวนาน และที่สำคัญเราไม่รู้จะทำของไม่มีคุณภาพมาขายทำไม เพราะสำหรับเรา การทำของดีมีคุณภาพมันง่ายกว่ากันเยอะ

 

แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีสูตรตำรับไหนบนโลกใบนี้ที่สามารถพูดได้ 100% ว่าจะไม่เกิดความผิดปกติแน่นอนครับ ถึงแม้บางแบรนด์จะพูดว่าใช้แล้วไม่แพ้, ผิวบอบบางก็ใช้ได้, ผ่านการตรวจสอบจากแพทย์ผิวหนัง, ไม่ก่อให้เกิดสิวหรือระคายเคืองก็ตาม

 

ดังนั้นทางที่ดีที่สุดคือ หากท่านใช้แล้วเกิดความผิดปกติเกิดขึ้น ให้หยุดใช้ทันที ล้างบริเวณที่มีอาการผิดปกติด้วยน้ำสะอาดมาก ๆ (กรณีอาการผิดปกติเกิดทันทีหลังใช้) และหากมีอาการมากให้รีบปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญครับ

Tag : ผิวระคายเคืองง่าย สิว

#AMTSkincare #AMTfamily #YourSkinGuardian #Handbook #Skincare #สกินแคร์

ติดตามและเป็นกำลังใจให้กับพวกเราได้ที่

https://linktr.ee/AMTSkincare

บทความอื่นๆ

ion casino

ion casino

sbotop

slot bet 100

joker123 gaming

slot deposit pulsa tanpa potongan

slot deposit pulsa tanpa potongan

bonus new member

slot filipina

slot myanmar

slot vietnam

slot garansi kekalahan 100

judi bola

slot myanmar

depo 25 bonus 25 to kecil

slot vietnam

depo 25 bonus 25

demo slot sugar rush

akun pro myanmar

slot bet kecil

bonus new member

bonus new member

joker123

demo lucky neko

slot joker123

slot garansi kekalahan

https://robertoduarte.com.br/wp-includes/Slot777/

https://billig-is.dk/wp-content/slot777/

https://www.firshop.com/wp-includes/slot777/

https://simone.co.uk/wp-content/slot777/

joker123

Situs Slot777

situs slot server kamboja

Slot Gacor 777

sbobet

situs slot server thailand

Slot Gacor 777

https://pabloscobar.com/wp-includes/slot777/

https://www.aprendetrompeta.com/wp-admin/slot777/

https://www.carehealth.uk/wp-includes/slot777/

https://justforbaby.co/slot777/

ion slot gacor

judi bola online

slot777

slot777

slot bet 100

slot bet 100

https://creativelifestyleblog.com/